ครูสมศรี ธรรมสารโสภณ
คุณครูสมศรี เจ้าของโรงเรียนสอนกวดวิชาภาษาอังกฤษชื่อดังของประเทศไทย จบจากคณะอักษรศาสตร์บัณฑิต (เอกภาษาอังกฤษ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะครุศาสตร์มหาบัณฑิต(การสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษา) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเกียรติคุณพิเศษ เข็มเกียรติคุณพิเศษจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในฐานะผู้บำเพ็ญประโยชน์ให้กับสังคม เธอรักในอาชีพแม่พิมพ์ของชาติ มีความรู้ความสามารถด้านการถ่ายทอดวิชากว่า 25 ปี สอนมหาวิทยาลัยชื่อดังมากมาย รวมทั้งเป็นครูอาสาสมัครสอนหนังสือเด็กพิการทางสายตา และเด็กบนดอย อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้เด็กไทยมีความรู้ความเข้าใจภาษาอังกฤษ จึงเปิดโรงเรียนสอนวิชาภาษาอังกฤษมาจนถึงวันนี้ชีวิตวัยเยาว์"คุณครูสมศรี" จบการศึกษาระดับอนุบาลที่โรงเรียนรุจิเสรีระดับมัธยมศึกษาตอนต้นสอบเข้าที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยแต่สอบไม่ได้จึงได้ไปเรียนที่โรงเรียนเครือข่ายคือโรงเรียนจันทร์หุ่นบำเพ็ญ ด้วยความต้องการของคุณพ่อคุณแม่อยากให้สอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้เหมือนพี่ชายคนที่3เพราะเชื่อว่าถ้าสอบเข้าโรงเรียนเตรียมฯ ได้ ลูกก็จะเข้า จุฬาฯ ได้ แสดงว่าลูกต้องมีอาชีพเลี้ยงตัวเองแล้วจะได้นอนตายตาหลับ แรงกดดันฝ่าฝันจนเก่ง
เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เพราะพี่ๆทุกคนเรียนเก่งกัน จึงทำให้พี่คนที่ 3 ดูแลอย่างดี เคี่ยวเข็ญให้เธออ่านหนังสือโดยอ่านซ้ำๆ อ่านบ่อยๆ เป็นอย่างนี้มาตลอดระยะเวลา3ปีเต็ม อาจจะเรียกได้ว่าเป็นวิธีเทียมเกวียน เพื่อให้เกิดความชำนาญ จนสามารถสอบเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมฯได้และระดับปริญญาตรีสอบติดคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมศรีรับหน้าที่แม่พิมพ์ของชาติ
หลังจากสำเร็จการศึกษาได้สอบเป็นครูที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ทำงานได้ 2 ปีแล้วลาศึกษาต่อ ซึ่งถือได้ว่าเป็นครูคนแรกที่ทางโรงเรียนเห็นความสามารถจึงให้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ทางด้านการสอนภาษาอังกฤษโดยตรง ในขณะนั้นก็ได้ทำหน้าที่เป็นไกด์ให้กับนักเรียนไทยและนักเรียนเอเชียด้วย นอกจากนี้ เธอเห็นว่าแม้ตนมีความรู้ ความสามารถทางด้านภาษาแล้วแต่ยังขาดเทคนิคทางด้านการสอน จึงได้เรียนต่อปริญญาโท คณะครุศาสตร์ (การสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษา) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วยมุ่งมั่นสอนเด็กตาพิการบนดอย
หลังจากจบปริญญาโทแล้วจึงได้ย้ายไปสอนมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญซึ่งอยู่ในเครือเซนต์คาเบรียล ในความคิดของเธอ ตอนนั้นถือว่าท้าทายความสามารถมาก เพราะต้องพัฒนาตนเองทางด้านการสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ต่อมาได้เป็นอาจารย์ที่ธรรมศาสตร์และที่จุฬาฯ ตามลำดับ เมื่อสอนไปได้สักพัก เธอมองแตกต่างจากคนอื่นและรักในการสอนหนังสือมากจึงลาออกแล้วสมัครเป็นอาสาสมัครช่วยสอนนักเรียนพิการทางสายตาบนดอยที่่อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ช่วงวันจันทร์-วันพุธ,วันพฤหัสบดี-วันอาทิตย์ก็กลับมาสอนที่กรุงเทพฯ ตามปกติ
อยากท้าทาย "สอนอังกฤษ" อนุบาล ช่วงชีวิตก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อคุณครูสมศรีคิดว่าการสอนหนังสือยังไม่หยุดนิ่งอยู่แค่นี้ กลับคิดว่าการสอนที่ท้าทายความสามารถที่สุดในการสอนน่าจะเป็นการสอนนักเรียนอนุบาล จึงได้เป็นคุณครูรับเชิญในโครงการนำร่องการสอนภาษาอังกฤษในระดับอนุบาลที่โรงเรียนละอออุทิศ ซึ่งถือได้ว่าเป็นโรงเรียนที่มีเด็กพิเศษแตกต่างกันไป ด้วยประสบการณ์จากการสอนนักเรียนตาพิการจึงทำให้คุณครูมีเทคนิคการสอนที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเด็กอนุบาลได้ดียิ่งขึ้น
"ครูสมศรี"นักบริหารเวลาที่ดี คุณครูสมศรีนอกจากจะเป็นครูที่มีเทคนิคทางด้านการสอนที่สามารถทำให้เด็กๆสนใจในการเรียนแล้วยังเป็นนักบริหารเวลาที่ดีด้วย เพราะนอกจากจะแบ่งเวลาเรื่องการสอนแล้วยังต้องแบ่งเวลาเพื่อที่จะทำประโยชน์ให้กับสังคมด้วย ซึ่งในช่วงแรกคุณครูจะแบ่งครึ่งต่อครึ่ง ต่อมาเนื่องจากว่าการสอนนอกสถานที่ค่อนข้างเยอะขึ้นจึงทำให้คุณครูสมศรีได้ปรับรูปแบบการสอนกับการทำประโยชน์เพื่อสังคมให้สามารถเป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ คือจากที่เคยสอนตามโรงเรียนต่างๆ ในกรุงเทพฯ ก็เริ่มออกสอนในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยในปัจจุบันคุณครูสมศรีจะออกงานช่วยเหลือสังคมในแง่ให้ความรู้ โดยไม่คิดค่าตอบแทน เพราะคิดว่าไม่มีค่าตัว แต่เน้นการทำตัวให้มีคุณค่า จุดเด่น ร.ร.สอนภาษาอังกฤษ "คุณครูสมศรี"
สิ่งที่โดดเด่นและแตกต่างไปจากสถาบันกวดวิชาที่อื่น เพราะเป็นเสมือนบ้านหลังที่สองของเด็กๆ ที่มาเรียนที่นี้ คุณครูสมศรีจะพูดเสมอว่าถึงคุณแม่และคุณพ่อของเธอจะไม่มีความรู้สูงแต่ท่านก็เป็นนักปราชญ์สำหรับเธอ เพราะว่าถ้าใครได้มาเรียนที่นี่จะได้รับทั้งความรู้ คุณธรรม จริยธรรม การวางตัว รวมถึงความกตัญญูต่อบุพการี และผืนแผ่นดินไทย อีกทั้งคุณแม่ของคุณครูสมศรียังพร่ำสอนเสมอว่า การเป็นครูสอนหนังสือเก่งเป็นได้ไม่ยาก แต่การเป็นทั้งครูและพ่อแม่ของเด็กนั้นถือว่าเป็นครูที่สมบูรณ์แบบ และเป็นการบรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดในการสอนของครู
กิจกรรมยามว่าง"ตอบกระทู้เด็กๆ" ช่วงผ่อนคลายของใครหลายคนอาจจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง เดินช็อปปิ้ง แต่สำหรับคุณครูสมศรีแล้ว ได้ใช้เวลาว่างหมดไปกับการตอบกระทู้ของเด็กๆ ที่เข้ามาทิ้งคำถามไว้ในเว็บบอร์ดของโรงเรียนhttp://www.kru-somsri.ac.th (คุยกับครูสมศรี) ซึ่งคุณครูสมศรีจะเล็งเห็นความสำคัญของทุกๆ คำถาม เพราะถือว่าถ้าเมื่อใดที่เด็กได้เข้ามาทิ้งคำถามไว้แสดงว่าเขาต้องการให้เราช่วยเหลือ หรือไม่แค่กำลังใจเล็กน้อยที่เรามอบให้เด็กก็สามารถเป็นแรงผลักดันให้เขามีกำลังในการที่จะก้าวไปในการต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้นได้แม้ว่าคุณครูสมศรีจะเป็นเพียงจุดเล็กๆ หนึ่งในสังคมก็ตามทีตคิ "ครูสมศรี" ได้ทำความดีก็มีความสุขแล้ว
นอกจากคุณครูสมศรีจะให้ความรู้และแง่คิดดีๆแล้วยังได้ฝากความห่วงใยไปถึงเด็กๆด้วยว่า ถ้าหากน้องๆ คนไหนที่คิดว่าตัวเองเรียนไม่เก่งคิดว่าตัวเองเป็นฐานของพีระมิด ไม่ได้เป็นจุดยอดของพีระมิด อยากให้เด็กๆ มองในด้านกลับกันใหม่ เพราะการศึกษาสูงสุดคือการที่เราสามารถดึงความเป็นตัวของเราเองออกมา คนเราแค่ได้ทำความดีก็มีความสุขแล้ว แต่การทำความดีก็ต้องดูตาม้าตาเรือ คือเพียรอย่างมีสติไม่โทษฟ้า ไม่ว่าดินยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้ดี และหาข้อดีของเขาในการนำมาพัฒนาตัวเรา แต่ไม่ใช่ต้องลอกเลียนจนเสียความเป็นตัวของตัวเอง
ตอนคุณครูสมศรีเด็กๆเรียนหนังสือไม่เก่ง เปรียบตนเองดั่งแสงเทียนเล่มเล็กๆ มิกล้าคิดเทียมแสงนีออน แสงจันทร์ หรือแสงตะวันได้ แต่ก็เปล่งแสงเรืองรองในยามที่ห้องมืดมิด ดอกไม้งามใช่ต้องบานทนขอเพียงจงเบ่งบานอย่างงามสง่ากับหนึ่งวันที่จะต้องเหี่ยวโรยราและจากโลกนี้ไป ก็นับว่าคุ้มค่าที่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่แล้ว
หน้าLife style หนังสือพิมพ์ สมิหลา ไทมส์ ฉบับที่ 324 วันที่ 19 - 25 กรกฎาคม 2551
ที่มา :
http://www.samilatimes.co.th/board/index.php?;topic=229.0