Kru Somsri's English School

July 16, 2025, 08:43:17 PM

:    
191147 46430 16698
: Jesusdew
*
+  Kru Somsri's English School
|-+  ห้องสนทนาของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษคุณครูสมศรี
| |-+  คุยกับคุณครูสมศรี
| | |-+  ใครอยากเข้าจุฬาหรืออยู่จุฬาน่าจะรู้จัก
: [1] 2
: ใครอยากเข้าจุฬาหรืออยู่จุฬาน่าจะรู้จัก  ( 11691 )
อุซางิจัง..CUD44
ผิดไหม...ที่แอบรักครู55+
Sr. Somsri'S Fanclub
Hero Member
*****
:
: 4341


เป็นน้องสาวแองจี้แล้วผิดไม๊


« : February 01, 2008, 10:03:56 PM »

นี่เป็นร้านค้าในตำนานที่เปิดคู่กะจุฬามาน๊านนาน

เรียกได้ว่านิสิตจุฬาใครไม่รุจักนี่แย่มากๆ

แล้วก็ร.ร.ใกล้เคียงอย่างสาธิตจุฬานี่ก็น่าจะรู้จักกันทุกคน

และเท่าที่เห้นบางครั้งแม้แต่เด็กเตรียมก็มาซื้อนะคะ

คือวิวเคยใช้บริการเค้ามานานหลายปี

แต่ก็ไม่เคยอ่านประวัติซักที

พออ่านแล้วแอบประทับใจ

เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน

เผื่อใครอยากรู้อยากลอง

(โปรดอ่านอย่างมีวิจารณญาณบางอันที่มันเหลือเชื่อก็มีจิงแต่บางอันก็เว่อเกิน)


ร้านจีฉ่อย

จีฉ่อย (อักษรจีน: ??; พินอิน: zh?c?i; เยล: ji3choi4) คือ ชื่อร้านขายของชำขนาดหนึ่งคูหา ตั้งอยู่หน้าตลาดสามย่าน ตรงบริเวณถนนพญาไท ตรงข้ามจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้ชื่อว่าเป็นสีสันแห่งหนึ่งของบริเวณสามย่าน ร้านจีฉ่อยเป็นร้ายขายของที่ขึ้นชื่อว่า มีของขายทุกอย่าง และถ้าของไหนไม่มีขายในร้าน จะสามารถมาเอาได้ภายใน 2 วันให้หลัง โดยเปิดตลอด 24 ชั่วโมง (ในเวลาเช้าถึงหัวค่ำ จะเปิดทำการที่หน้าร้าน ส่วนในเวลาหลังจากนั้น แม้ว่าดูเหมือนร้านจะปิด แต่คุณสามารถใช้บริการของร้านนี้ได้โดยการไปเคาะประตูหลังร้าน เพียงไม่นานนัก อาซิ้มเจ้าของร้านจะเดินฝ่าความมืดมาใกล้ๆ พร้อมกับถามว่า "ลื้อจาเอาอาราย") ลักษณะร้านเป็นร้านกว้างประมาณ 3 เมตร และลึกประมาณ 10 เมตร ร้านจีฉ่อย เป็นธุรกิจครอบครัวชาวจีนที่เปิดร้านขายของชำ

ปัจจุบัน ร้านจีฉ่อยจะปิดวันอาทิตย์วันเดียว ส่วนวันธรรมดาจะเปิดตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม

ตำนานเกี่ยวกับจีฉ่อย

พนักงานขาย
พนักงานขายของร้านนี้เป็นอาซิ้มสองคนผลัดกันเฝ้าเวร ตลอด 24 ชั่วโมง อาซิ้มทั้งสองคนรูปร่างหน้าตาเหมือนกันมากเนื่องจากเป็นฝาแฝดกัน ทำให้ลูกค้าที่มาซื้อของบ่อย ๆ ต่างอดสงสัยไม่ได้ว่า คนขายของร้านนี้ไม่หลับไม่นอนกันเลยหรือ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกันคือ "ฟันทอง"

อีกประการหนึ่ง ตู้เก็บสินค้าในร้านที่มีจำนวนมาก วางเรียงรายไว้จนเหลือทางเดินในร้านกว้างเพียงแค่ 60 เซนติเมตร จะต้องอาศัยพนักงานร่างเล็กสองคนนี้เท่านั้น จึงจะสามารถเดินไปหยิบของภายในร้านมาให้ได้

เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจที่ได้ทราบมาในภายหลังว่าอาซิ้มคนหนึ่งได้เสียชีวิตไปเสียแล้ว

ตอนนี้ ลูกชายแกมาช่วยขายในบางวัน บางทีอาซิ้มแก หลงๆ ลืมๆ ก็จะได้สติจากลูกชายแกทำให้ขายของได้ถูกต้องมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีลูกจ้างสาวอีกหนึ่งคนคอยช่วยขายด้วย ในร้านยังมีหมาของแกอีกตัวคอยช่วยเฝ้าของ แต่เนื่องด้วยของในร้านเยอะมาก เจ้าของร้านสามารถเดินได้ทีละคนเท่านั้น สวนกันตรงทางเดินไม่ได้ ขนาดหมายังต้องวิ่งไปให้สุดร้านถึงจะกลับตัววิ่งออกมาได้


[แก้] เทคนิคการขาย
เทคนิคการขายของร้านนี้คือถามหาอะไรมีหมด หากว่าสินค้าชิ้นนั้นไม่มีในร้าน ก็จะบอกให้รอเดี๋ยว แล้วก็หามาให้จนได้ เช่นหากต้องการทานข้าวขาหมู ถามว่ามีไหม พนักงานขายจะบอกว่า "มี รอเหลียว" (มาจาก รอเดี๋ยว) แล้วออกไปหลังร้าน ซื้อข้าวขาหมูจุฬาฯจากตลาดสามย่านมาให้ หรือเคยมีคนถามหากระบวยพลาสติกตักน้ำในห้องน้ำ ก็บอกว่า "มี รอเหลียว" แล้วไปหยิบมาจากไหนมาไม่ทราบ ยังมีน้ำหยดติ๋ง ๆ อยู่ ถือว่าพนักงานขายร้านนี้มีสปิริตของนักขายอย่างแท้จริง ถ้าถามถึงเลื่อย แกก็จะวิ่งไปร้านขายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ข้างๆแกล่ะ แล้วก็มาตั้งราคาเอง ถ้าของชิ้นนั้นต้องใช้เวลาในการหาสักครู่ใหญ่ แกก็จะมีลูกอม หรือขนมขบเคี้ยวมาให้บริการลูกค้าด้วย จะได้ไม่เบื่อ และถ้าซื้อเยอะล่ะก็ แกก็จะมีของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ปากกา (ถ้าเป็นนิสิต) มอบให้ลูกค้าอีกต่างหาก

ราคาของ หลายๆครั้งที่พนักงานขายจะถามว่า "เคยซื้อเท่าไร" เมื่อบอกราคาที่เคยซื้อไปแล้วเขาจะบอกราคาสินค้าให้เรา สูงกว่าบ้างต่ำกว่าบ้าง โดยที่ไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนแต่อย่างใด เช่น เทปMiniDVที่ขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปราคาม้วนละ 500 บาท แต่ถ้าลูกค้าโดนถามว่าซื้อมาเท่าไหร่ ก็จะตอบว่า 200 แล้วอาซิ้มก็จะให้ราคาตามนั้น ถูกบ้าง แพงบ้าง แล้วแต่อารมณ์และความรู้ในสินค้าของแก

ของที่ขาย

ตัวอย่างสินค้าที่มาขาย หรือเคยวางขายในร้านได้แก่ ของเล่น น้ำอัดลม ปากกา สบู่ ลูกบอลพลาสติก ปูนพลาสเตอร์ รองเท้า กากเพชร กับดักหนู ใบลงทะเบียนเรียนของจุฬาฯ ตั๋วเครื่องบิน ฮูล่าฮุป เปียโน สีน้ำมัน กระดาษ และรถยนต์ นอกจากนี้ร้านจีฉ่อยยังมีสินค้าบางอย่างที่ไม่น่าเชื่อขายอีกเช่น แหวนรุ่นของคณะวิศวกรรมศาสตร์ (ที่ไว้สำหรับแจกนิสิตปีที่หนุ่) อีกทั้งสินค้าที่หายากอย่างบัตรคอนเสริต เรน โทรศัพท์มือถือ และ ไอ-พอด

มีผู้ที่เคยใช้บริการบอกว่า เคยไปซื้อฮาร์ดดิสก์จากอาซิ้ม เพราะคิดว่าไม่มีแน่นอน แต่อาซิ้มก็ตอบว่ามีแล้วมุดไปหาจนเจอจนได้ มีผู้ใช้บริการอ้างว่า เคยตัดชุดครุยรับปริญญากับจีฉ่อย นัดแค่สองวันมีช่างมาวัดตัวเสร็จสรรพ ได้ชุดครุยยี่ห้อจีฉ่อยไปใส่ถ่ายรูปสวยงาม นอกจากนี้เคยมีนิสิตคณะหนึ่งยืนยันได้ว่าเคยจ้างวาน ให้ร้านจีฉ่อยไปซื้อ เซียมซีเพื่อใช้ในการทำงานมาแล้ว

นิสิตคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ คนหนึ่งเล่าว่า เคยไปซื้อของกลางดึกเพื่อทำวิทยานิพนธ์ ประมาณตี 1 เจ้าของร้านบอกให้ไปหลังร้าน ซื้ออุปกรณ์เครื่องเขียน เสร็จแล้วก็นึกสนุกระหว่างที่รอซิ้มค้นหาของ ตะโกนถามซิ้มว่า มีลิโพ ขายไหม ซิ้มก็ตอบทันทีว่า "จะเอากี่ขวด".. "ยาแก้ปวดล่ะ" แน่นอน ซิ้มตอบ "จะเอากี่เม็ด" นิสิตคนนั้นไม่ยอมแพ้ถามต่อ ว่า "แล้วเก้าอี้หมอฟันล่ะ มีขายมั้ย" ซิ้มนิ่งไปนิดนึงก่อนจะตอบว่า "รอเดี๋ยว" ...(ไม่มีการยอมแพ้)

อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่นิสิตจุฬาฯชอบไปลองของกับอาซิ้มเจ้าของร้าน โดยสั่งซื้อ "กิโมโน 1 ชุด" อาซิ้มหันมาและถามว่า "ลื้อ จะเอาจริงรึเปล่า?" (นั่น มีท้าทายกันด้วย) นานไปๆ จากร้านขายของสารพัดอย่าง ก็เป็นได้ทั้งเวทีท้ามวย ขายหัวเราะ ร้านอาหาร ร้านตัดผม และร้านอื่นๆอีกมากมาย ยิ่งการประชันฝีมือ จีฉ่อยไม่เคยแพ้ใครเลย แม้จะมีคนท้าว่าอยากใส่รองเท้าบู๊ทสีชมพูสด ขนาดฝ่าเท้า แกก็อุตส่าห์หามาให้จนได้ นะ

อันนี้ก็ขอเสริมอีกหน่อยครับว่า อันนี้เขาเล่ากันมานะ มีคนเคยลองของกับเจ๊แกอีกแล้ว. . ."เจ๊ ข้าวมันไก่จาน" เจ๊แกก็ "รอเหลียวๆ" หายไปพักใหญ่ๆ เจ๊แกเดินออกมาพร้อมกับข้าวมันไก่จริงๆ เคยขอซื้อเก้าอี้หวายยังมีเลย และเมื่อไม่นานมีนี้ เพื่อนๆ ที่คณะของผมก็เคยไปซื้อกระด้งมาแล้วครับ โอ้โห หามาได้ แต่แพงหน่อยนะ อันละตั้งเกือบ 300

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า เคยมีคนคิดที่จะลองของ โดยจะไปขอซื้อ"เฮลิคอปเตอร์"จากเจ๊แกเหมือนกัน แต่สุดท้ายไม่กล้าไปลอง เพราะกลัวว่าด้วยสปิริตนักขายอันแรงกล้าของเจ๊แก จะพาลทำให้เจ๊แกถ่อสังขารไปสรรหา"เฮลิคอปเตอร์"มาให้ลูกค้า จนอาจทำให้เจ๊แกล้มหมอนนอนเสื่อลงไปได้ เป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ และอีกเหตุผลนึง คือ กลัวจะไม่มีตังจ่ายเจ๊แก เพราะเจ๊แกอาจจะไปหา"เฮลิคอปเตอร์"มาได้จริงๆก็เป็นได้ เพราะขนาดลอตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่งเจ๊แกยังมีปัญญาหามาจนมีเงินมาเปิดร้านได้เนี่ย เจ๊แกอาจจะมีปัญญาหาเฮลิคอปเตอร์มาให้ก็ได้นี่นาใครจะไปรู้ล่ะ...

อ้างอิง

จากวิกิพีเดียนะคะลองไปหาดู
 

ชั้นคือสาวน้อยน่ารักผู้พิทักษ์ความรักและความยุติธรรม เซเล่อมูน...ตัวแทนจากดวงจันทร์จะลงทันแกเอง

CUD44~ARTS CU 77
คุณครูสมศรีสุดสวยจร้า!!
น่าร๊ากกกกก
Administrator
Hero Member
*****
:
: 4363


เดาซิ...คุณครูอุ้มน้องหมากี่ตัว อิอิ


« #1 : February 02, 2008, 05:23:04 PM »

เรื่องจริงเพราะคุณครูเคยใช้บริการมาตั้งแต่เป็นนิสิต

ความจริงน้องวิวต้องเล่าเรื่องฝรั่งดองรถเข็ญเจ้าโปรดของสมเด็จพระเทพฯด้วยนะ

ถ้าไม่มีต้องไปหามานะ

แล้วก็อ้อยหวาน นิสิตชายประหลาดใส่เสื้อนิสิตหญิงแต่กางเกงสีชมพู

คนนี้คุณครูรู้จักดี เพราะเขาเรียกคุณครูว่า"พี่ส้มลิ้ม"

หามาเล่าให้ฟังนะ ความรู้เสริมน่ะนะ
 

อย่าลืมเทียมเกวียนเยี่ยงควาย อ่านซ้ำๆ ทวนซ้ำๆ นะคะ คุณครูสมศรีและพี่ๆเสื้อส้ม เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้ๆค่ะ!!!!!
^DoCtOr^
Full Member
***
:
: 136


SHI69


« #2 : February 02, 2008, 06:12:20 PM »

ตอนไปครั้งแรกน่ากลัวมาก
ไม่คิดว่าร้านในตำนานอย่างจีฉ่อย จะเป็นอย่างนี้

เจอคนขายยิ่งผงะ (แต่แอบชอบฟันเค้าอ่ะ)

เป็นร้านขายของที่ครบวงจรจริงๆ
 

ARTS-MATH TU68
SHI69 CU
intuition
Newbie
*
: 24


« #3 : February 02, 2008, 06:31:40 PM »

หวังว่าผมคงได้มีโอกาส ชิมบ้าง
 
Kennith
Newbie
*
: 44



« #4 : February 02, 2008, 07:54:15 PM »

เรื่องจริงเพราะคุณครูเคยใช้บริการมาตั้งแต่เป็นนิสิต

ความจริงน้องวิวต้องเล่าเรื่องฝรั่งดองรถเข็ญเจ้าโปรดของสมเด็จพระเทพฯด้วยนะ

ถ้าไม่มีต้องไปหามานะ

แล้วก็อ้อยหวาน นิสิตชายประหลาดใส่เสื้อนิสิตหญิงแต่กางเกงสีชมพู

คนนี้คุณครูรู้จักดี เพราะเขาเรียกคุณครูว่า"พี่ส้มลิ้ม"

หามาเล่าให้ฟังนะ ความรู้เสริมน่ะนะ


ลุงฟรุตตี้ เป็นชื่อเรียกของนายประมวล หรือ บักเซี้ย แซ่ลิ้ม เป็นคนขายผลไม้ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บางคนเรียกสั้นๆว่า ลุงฟรุต หรือ ลุงป๊ง ลุงฟรุตเป็นชายวัย 50 กว่า อารมณ์ดี มีอัธยาศัยดี บุตรของลุงขายผลไม้ "เทียมมี่" หรือ "ทิมมี่" ที่เป็นที่รู้จักในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อยุคกว่า 30 ปีก่อน

ลุงฟรุตจะขี่มอเตอร์ไซด์เวสป้าสีเขียวขายผลไม้แวะเวียนไปตามคณะต่างๆ รวมไปถึงสาธิตจุฬาฯ ซึ่งในหลายๆ ครั้งที่นิสิตต้องอยู่ทำกิจกรรมกันจนเย็นย่ำค่ำคืน (เช่น ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์) ลุงฟรุตก็มักจะมีผลไม้มาขายเพื่อบรรเทาความหิวให้กับนิสิต (เคยมีผู้พบลุงฟรุตในจุฬาฯ เมื่อเวลาประมาณห้าทุ่ม!) ผลไม้ที่ลุงฟรุตขาย เช่น ฝรั่งแสนกรอบ, สับปะรด, มันแกว, มะม่วงมัน, แคนตาลูป, แตงโม ฯลฯ ท้ายรถของลุงฟรุตมักจะช่วยติดโปสเตอร์โฆษณาประชาสัมพันธ์กิจกรรมของเหล่านิสิตจุฬาฯ เช่น ละคอนสถาปัตย์ จุฬาวิชาการ ละครนิเทศจุฬา ฟุตบอลประเพณี ไทร์เอ้าท์ละคอนอักษร งานประกวดเต้น DanceXplosion และหลายครั้งลุงฟรุตก็เป็นสปอนเซอร์ให้กิจกรรมนั้นๆด้วย โดยเฉพาะการทำผลไม้เลี้ยงนิสิตที่ทำกิจกรรม.

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89


คนนี้รึเปล่าครับครู
 
อุซางิจัง..CUD44
ผิดไหม...ที่แอบรักครู55+
Sr. Somsri'S Fanclub
Hero Member
*****
:
: 4341


เป็นน้องสาวแองจี้แล้วผิดไม๊


« #5 : February 02, 2008, 08:28:51 PM »

เย้ยลุงฟรุตตี้เราดังขนาดนี้เลยหรอ

ลุงฟรุตตี้นี่ไม่เคยซื้อซักทีเพราะวิวไม่กินผลไม้ดองเหอๆ

แต่ลุงแกจะขายอยู่หน้าคณะนิเทศจุฬาตอนเวลาประมาณ

16.00น.เป็นต้นไปนะคะ

ลองไปซื้อกันดู

(ไม่คิดว่าจะดังนะเนี่ยยย)

แต่ประทับใจอาม่าจีฉ่อยมากข้อมูลอื้อเรย
 

ชั้นคือสาวน้อยน่ารักผู้พิทักษ์ความรักและความยุติธรรม เซเล่อมูน...ตัวแทนจากดวงจันทร์จะลงทันแกเอง

CUD44~ARTS CU 77
อุซางิจัง..CUD44
ผิดไหม...ที่แอบรักครู55+
Sr. Somsri'S Fanclub
Hero Member
*****
:
: 4341


เป็นน้องสาวแองจี้แล้วผิดไม๊


« #6 : February 02, 2008, 08:43:36 PM »

 เข็มนาฬิกาชี้เวลาบ่ายเศษๆ เสียงย่ำเท้าลงบันไดของเหล่านิสิตที่เพิ่งเลิกจากการร่ำเรียนมาทั้งวันเริ่มดังขึ้น บางคนลงมานั่งรอพ่อแม่อยู่ที่ใต้ถุนตึก บ้างก็จับกลุ่มปรับทุกข์ถึงความยากแสนสาหัสของวิชาที่เพิ่งเรียนมา
       
       พลันเสียง "แต่ก แต่ก แต่ก แต่ก" ของรถเวสป้าเก่าๆ ก็ดังแหวกอกาศอันอัดแน่นไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจๆไม่ต่างอะไรจากนกกระจอกเพิ่งแตกรังเข้ามาจอดเทียบอยู่ข้างอาคาร
       
       แทบจะไม่ต้องเหลียวหลังกลับไปดูก็รู้ได้ทันทีว่าเสียงนั่นเป็นสัญญาณที่บอกถึงการมาถึงของ "ลุงป๊ง", "ลุงฟรุต", "ลุงฟรุตตี้....." หรือชื่ออื่นๆ อีกมากมายตามแต่ว่าเด็กคณะไหนจะบัญญัติขึ้นมา
       
       แต่ท้ายสุดก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า กำลังพูดถึง อาแป๊ะแก่ๆ หัวล้านเหม่งแต่ไม่เคยเม้งใคร ขี่เวสป้าเก่าๆ สีเขียว มีถังน้ำแข็งใบใหญ่พ่วงท้าย ข้างในบรรจุผลไม้พร้อมทาน รสชาติหวานลิ้น กินแล้วชื่นใจ
       
       ใครคือลุงป๊ง???
       
       ลุงป๊ง หรือ ประมวล หรือชื่อจีนว่า บักเซี้ย แซ่ลิ้ม เป็นชายวัย 53 ที่เร่ขายผลไม้อยู่ในรั้วจามจุรีมานานกว่า 20 ปี ลุงป๊งเป็นคนขายผลไม้เพียงไม่กี่คนที่รับในอาชีพนี้มาจากรุ่นพ่อและกำลังพยายามถ่ายทอดให้คงอยู่ไปสู่รุ่นลูก สิ่งสำคัญที่ทำให้ผลไม้ในถังของลุงป๊งต่างจากผลไม้หาบเร่อื่นๆ ก็คือ ทุกครั้งที่ลุงป๊งขาย ลุงป๊งจะใส่ความรักและหัวใจลงในผลไม้ทุกๆ ชิ้นด้วย
       
       และด้วยความรักในอาชีพนี้เองที่ทำให้ลุงป๊งสามารถจดจำชื่อลูกค้าได้เกือบทุกคน ลุงจำได้แม้กระทั่งว่าลูกค้าคนไหนชอบทานอะไร ลูกค้าคนไหนเคยถามถึงผลไม้ชนิดไหนไว้ บางคนเพิ่งเคยซื้อผลไม้ของลุงเป็นวันแรกแต่พอรุ่งขึ้นกลับต้องแปลกใจที่พบว่าชื่อของเขากับรายการผลไม้ที่ซื้อไปเมื่อวานได้เข้าไปอยู่ในเสี้ยวความจำของลุงป๊งไปเสียแล้ว
       
       "ลุงรักงานนี้ ลุงจะพยายามจำให้ได้ว่าลูกค้าคนไหนชอบทานผลไม้แบบไหน ความสุขในการทำงานของลุงมาจากนิสิตกับคณาจารย์ ลุงชอบให้ลูกค้าเข้ามาคุย ชอบให้ลูกค้าเข้ามาติจะได้รู้ความจริง เวลาลุงมีเรื่องไม่สบายใจจากที่บ้านลุงก็จะออกมาขายของ พอออกมาขายก็จะรู้สึกดีขึ้น สบายใจขึ้น" ลุงป๊งกล่าวอย่างอารมณ์ดี
       
       ความรักในงานขายผลไม้นั้นไม่ใช่ลุงป๊งคนเดียวที่มีหากย้อนไปสมัยเมื่อ 56 ปีก่อน เมื่อครั้งที่คุณพ่อของลุงป๊งหรือที่ประชาคมชาวจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในสมัยนั้นเรียกกันว่า "ลุงเทียมมี่" หรือ "ทิมมี่" ยังขายอยู่ ผู้ซื้อและคนละแวกนั้นก็สามารถรับรู้ได้เช่นกันว่าลุงทิมมี่ได้ใส่ความรักลงไปในการขายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าลุงป๊งผู้เป็นลูกคนนี้
       
       ลุงป๊งยังเล่าให้เราฟังอีกว่าคุณพ่อของลุงเป็นคนอารมณ์ดี ชอบชวนลูกค้าคุย และวิธีการขายของคุณพ่อก็ไม่เหมือนกับคนอื่นนั่นคือ "ไม่รอให้ลูกค้าเข้ามาหาแต่จะแต่เดินเข้าไปพูดคุยเหมือนลูกค้าเป็นคนในครอบครัวที่คุ้นเคยกันมานาน" ซึ่งวิธีนี้เองเป็นวิธีการขายที่รุ่นพ่อ "ทิมมี่" ได้เพียรพยายามถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูก "ฟรุตตี้" และนี่ก็เป็นการขายที่ทำให้นิสิตหลายคนอดไม่ได้ที่จะล้วงกระเป๋าหยิบเงินขึ้นมาซื้อผลไม้ของลุงทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะซื้อ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าถูกขู่บังคับให้ซื้อหรือซื้อเพราะความจนใจเพื่อที่คนขายจะได้ไปๆ จากชีวิตเหมือนอย่างที่เคยรู้สึกกับเซลส์แมนบางรายที่พยายามยัดเยียดการขายจนทำให้ลูกค้าหลายคนต้องรีบจบการสนทนาโดยการรีบซื้อเพื่อรีบที่จะตัดบท....
       
       "คุณแจ๋วครับวันนี้มีส้มเช้ง แตงโมเย็นๆ มะม่วงก็มีนะครับ อ้อ...มีมะม่วงสุกด้วยเห็นวันก่อนคุณแจ๋วถามหา พอดีเมื่อวานมีของมาเลยทำมาด้วยเผื่อคุณแจ๋วอยากทาน ไม่ทราบว่าคุณแจ๋วจะทานอะไรดีครับ" แจ๋ว,อัจฉรา นิสิตจุฬาฯ รหัส 45 หนึ่งในลูกค้าประจำของลุงป๊งบอกกับเราถึงประโยคที่ทำให้เธอกลายมาเป็นลูกค้าประจำของลุงอย่างเต็มตัว พร้อมทั้งยังบอกอีกว่าหากให้นึกถึงลุงป๊งสิ่งแรกที่จำได้คือรอยยิ้มแล้วก็เสียงหัวเราะ "แหะๆ ๆ ผลไม้มั้ยคร้าบ....."
       
       จากประสบการณ์อันโหดร้ายสู่ตำราการทำผลไม้หวาน อร่อย
       
       "เท่าที่จำความได้ลุงก็นั่งปอกผลไม้ตั้งแต่ 8 ขวบแล้ว ตอนตี 2 ก็ต้องถูกปลุกไปช่วยพ่อซื้อผลไม้ที่ตลาด ดูอะไร ซื้ออะไรก็ไม่เป็นหรอก คุณพ่อลุงก็ให้นั่งเฝ้าของบ้าง แบกของบ้าง ตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าเบื่อมาก พอคุณพ่อลุงเผลอทีไรลุงก็จะแอบหนีไปเที่ยวประจำ" ลุงป๊งเริ่มเล่าต่อถึงเหตุการณ์ที่พาให้ชีวิตของลุงต้องหันมาทำอาชีพที่ลุงเคยเบื่อแสนเบื่อ
       
       ลุงป๊งเล่าว่านอกจากลุงจะต้องช่วยพ่อทำผลไม้แล้วลุงก็ยังต้องช่วยพ่อขายด้วย แต่หลังจากที่ลุงป๊งเรียนจบประถม 4 คุณพ่อของลุงก็บอกให้ลุงออกไปหาประสบการณ์นอกบ้านด้วยหวังอยู่ลึกๆ ว่าประสบการณ์เหล่านั้นจะช่วยหล่อหลอมให้เด็กชายตัวน้อยๆ ที่คอยรุนรถเข็นวิ่งตามพ่อไปขายของที่จุฬาฯ บ้าง สวนลุมบ้าง ให้เติบใหญ่เป็นชายหนุ่มที่เข้มแข็ง อดทนและพร้อมที่จะออกมาเป็นเถ้าแก่ มีกิจการเป็นของตัวเองไม่ต้องหาบผลไม้เร่ขายตากแดด ตากฝนเหมือนอย่างที่ผู้เป็นพ่อเคยเผชิญมาก่อน
       
       "โรงพิมพ์, ล้างรูป, สำเพ็ง ลุงเคยทำมาหมดแล้ว ที่ทำได้นานหน่อยเห็นจะเป็นเซลล์ขายเสื้อผ้าในต่างจังหวัด เป็นเจ้าของเองด้วยนะ โห...ช่วงนั้นได้เงินดีมากๆ แต่พอล้มก็หมดตัวจนไม่เหลืออะไรเลยเหมือนกันแม้แต่บ้านยังไม่มีไว้ให้ซุกหัวนอน เหลือแค่ลูกเล็ก 4 คน แฟนลุง เวสป้าคันนี้ แล้วก็รถตู้เก่าๆ คันหนึ่ง ลุงก็เลยต้องหันกลับมาช่วยพ่อขายผลไม้"
       
       ตอนที่หันมาขายผลไม้อีกครั้งลุงบอกว่าก็ยังไม่ได้รู้สึกว่ารักหรือชอบในอาชีพนี้สักเท่าไหร่ คิดเพียงว่าจะหาเลี้ยงลูก4 คน อย่างไรให้ไปรอด พอขายมาเรื่อยๆ ได้เข้ามาคุยกับนิสิตบ้าง คณาจารย์บ้าง ทำให้ลุงเริ่มรู้สึกว่าในรั้วจามจุรีแห่งนี้ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก ที่นี่ได้ทำให้ลุงได้พบกับสังคมใหม่ เป็นสังคมที่ไม่มีการแก่งแย่งแข่งขัน ไม่มีคำว่าผลประโยชน์ ไม่มีคำว่าได้เปรียบเสียเปรียบ และที่นี่เองที่ทำให้ลุงเกิดมุมมองใหม่ในความหมายของคำว่า "คนขายผลไม้" ซึ่งพ่อของลุงเคยย้ำนักย้ำหนามาตลอดว่า "อย่าทำเลยทำไปก็ไม่รวย"
       
       "ตอนนั้นลุงเครียดมาก คนเราเมื่อล้มเหลวจะรู้สึกว้าเหว่ เพื่อนฝูงก็ห่างเหิน แต่พอได้มาคุยกับนิสิตรู้สึกว่านิสิตไม่เหมือนคนข้างนอก รู้สึกว่าเขาเข้าใจลุง จุดนี้เลยทำให้ลุงหายเครียด และเริ่มมองอาชีพนี้ใหม่ ลุงเริ่มบอกตัวเองว่าอาชีพนี้ก็มีรายได้หมุนเวียนเข้ามาทุกวัน ถ้าเราประหยัดเราก็สามารถเลี้ยงครอบครัวได้" แม้จะเป็นเรื่องที่เลวร้ายในชีวิตแต่ลุงก็สามารถเล่าไปยิ้มไปได้พร้อมทั้งบอกว่า "หากลุงไม่ล้มในครั้งนั้นก็คงไม่เห็นความสุขจากอาชีพที่หลายคนคิดว่าเป็นอาชีพเล็กๆ รายได้น้อย อย่างคนขายผลไม้ที่ลุงทำอยู่ทุกวันนี้"
       
       หลังจากที่ลุงป๊งตัดสินใจแล้วว่าจะขายผลไม้ตามรอยของคุณพ่อที่ได้สร้างฐานลูกค้าไว้แล้วจำนวนหนึ่งก็ใช่ว่าโชคชะตาจะเข้าข้างส่งให้ลุงป๊งขายดิบขายดีเหมือนอย่างสมัยของลุงทิมมี่ผู้เป็นพ่อเคยประสบ ในช่วงแรกๆ ผลไม้ของลุงป๊งแทบจะขายไม่ได้เลย แม้อากาศจะร้อนแสนอบอ้าวเพียงใดก็ไม่มีใครหันมาซื้อแตงโมที่แสนเย็นฉ่ำของลุงทาน บางวันขายตั้งแต่เช้าจรดเย็นได้แค่ 4-5 ถุง ลุงป๊งจึงต้องหันกลับมาปรึกษาแฟนว่า "ทำไมนะผลไม้เราจึงขายไม่ออก?", "ผลไม้ของเราสกปรกรึเปล่านะ?"
       
       ลุงป๊งเริ่มถามไถ่ลูกค้าถึงเหตุผลที่ชอบและไม่ชอบผลไม้ของลุง ลุงป๊งเริ่มสังเกตว่าเด็กที่นั่งอยู่ใต้ถุนคณะต่างๆ เขาทานและไม่ทานผลไม้อะไร จนวันหนึ่งมีนิสิตหญิงคณะบัญชีเข้ามาซื้อผลไม้ของลุงพร้อมกับพูดทีเล่นทีจริงว่า "ทำไมลุงไม่เอาแตงโมไร้เมล็ดมาขายละ ขายดีนะ"
       
       "ลุงนึกว่าเด็กคนนั้นพูดเล่นเพราะสมัยก่อนยังไม่มีแตงโมไร้เมล็ด แต่ลุงก็ลองเอาไม้เสียบลูกชิ้นแคะเม็ดออกนะแล้วก็ลองเอาไปขาย ปรากฏว่าขายดี ลุงยังจำได้แม่นว่าวันนั้นแตงโมลุงขายหมดเกลี้ยงเลย" ลุงป๊งพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
       
       อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ชีวิตของลุงป๊งพลิกกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในช่วงข้ามวันก็คือ เหตุการณ์เมื่อครั้งที่ลุงยังรุนรถเข็นขายอยู่ใต้โรงอาหารคณะอักษรศาสตร์ บ่ายวันนั้นมีผู้หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามาแล้วเข้ามาถามหามะม่วงเขียวเสวยลุงก็บอกว่าหมดแล้ว ลุงก็เลยถามต่อไปว่า "ชอบหรือ" หญิงคนนั้นเลยตอบลุงมาว่า "จะซื้อไปถวายพระเทพฯ ได้ยินว่าท่านชอบทานมะม่วงเขียวเสวยลุง"
       
       จากเหตุการณ์นั้นทำให้ลุงป๊งรู้สึกตื้นตันใจทั้งที่ลุงก็ไม่ใช่คนเด่นคนดังอะไร แต่พระองค์ก็ยังทรงซื้อผลไม้ของลุงทานอยู่เป็นประจำ และความตื้นตันใจนี้เองที่ทำให้ลุงเกิดกำลังใจที่จะทำอาชีพนี้ต่อไป ความหวังในชีวิตของลุงได้กลับคืนมาอีกครั้ง แล้วตำราว่าด้วยการทำผลไม้ของลุงก็เริ่มต้นขึ้น.....
       
       บทเรียนที่ 1 ว่าด้วย"การเลือกซื้อ"
       
       ตำราการทำผลไม้ของลุงป๊งนั้นไม่มีอะไรที่พิเศษไปกว่าการทำผลไม้ของที่อื่นๆ อาจต่างไปตรงที่ต้องใช้ความละเอียดเข้ามาจับในทุกขั้นตอนการผลิตซึ่งขั้นตอนแรกที่เป็นหัวใจคือ "ต้องดูว่าลูกค้าชอบอะไร" ลุงป๊งบอกว่าส่วนใหญ่ลุงจะสังเกตเอาเอง บ่อยครั้งลูกค้าก็จะแนะนำว่าให้เอาอย่างนี้ อย่างนั้นมาขาย แล้วลุงก็มักจะเปรียบตัวเองเป็นคนซื้อ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ไม่เอาของที่ไม่มีประโยชน์มาขาย
       
       เมื่อรู้ว่าลูกค้าชอบอะไรแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการออกไปเลือกซื้อผลไม้สดเพื่อนำมาแปรรูปให้เป็นผลไม้บรรจุถุง แช่ในถังน้ำแข็งขนาดกลาง ภายในมีอุณหภูมิเย็นเฉียบ แถมท้ายด้วยไม้ปลายแหลมขนาดพกพาพร้อมที่จะจิ้มทานได้ทุกเมื่อ
       
       "การซื้อนี่สำคัญมากๆ เลยนะ ถ้าพลาดไปจุดหนึ่งจุดอื่นๆ ก็จะพลาดไปด้วยเหมือนโดมิโนตรงที่ล้มแค่1 ตัว ตัวที่เหลือในแถวก็จะล้มตามๆ กันมา" ลุงป๊งเกริ่นก่อนที่จะพาเราเข้าไปรู้จักกับวิธีการซื้อผลไม้ที่มองผิวเผินเหมือนว่าจะง่ายแต่เอาเข้าจริงต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าค่อนคืนจึงจะได้ผลไม้ที่มีคุณภาพ ราคาพอซื้อหาได้ ไม่แพงเกินไปสำหรับนิสิต นักศึกษา
       
       "ผลไม้บางอย่างดูแค่ฉาบฉวยไม่ได้ อย่างมะม่วงที่ผิวสวย เปลือกสวย ยิ่งยามที่ต้องแสงของหลอดนีออนตอนกลางคืนยิ่งดูแล้วนวลตา น่าซื้อ น่าทาน แต่พอซื้อกลับมาปรากฏว่าลูกอื่นๆที่ถูกกดทับอยู่ด้านล่างกลับช้ำแล้วช้ำอีก บางทีสวยแค่ 10 กว่าลูกที่อยู่ด้านหน้า ที่เหลือต้องตัดใจทิ้งทั้งเข่ง" นี่คือบทเรียนแรกของการเลือกซื้อผลไม้ที่เราได้เรียนรู้มาจากลุงป๊ง
       
       บทเรียนที่สองของเราคือ "การใช้ความใจเย็นเป็นที่ตั้ง" เพราะผลไม้ราคาถูกแต่คุณภาพดีมักจะเป็นสิ่งหายาก ลุงป๊งบอกว่าการซื้อมันยากตรงที่เราต้องการราคานี้ คุณภาพแบบนี้ แต่พอเดินดูก็จะเจอแต่ราคานี้แต่คุณภาพต่ำกว่านี้ หรือเกรดนี้แต่ราคาสูงจนไม่มีช่องให้กำไรได้ผุดขึ้นมาหายใจ ที่นี้ถ้าใครไม่ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ เดินได้หน่อยเดียวก็จะเริ่มถอดใจแล้วก็จะไม่สนด้วยว่าเคยตั้งราคากับคุณภาพไว้ที่เท่าไหร่และอย่างไร รู้แต่ใจอยากกลับบ้านนอนเอนหลังให้หายเหนื่อย หรือสักแต่ว่าซื้อให้เสร็จๆ ไป เมื่อคุณภาพดีมันหายากก็เอาแบบราคาถูกแต่พอกินได้ก็แล้วกัน
       
       "ความใจเย็นไม่ได้ใช้กับเรื่องนี้เรื่องเดียวนะ ในทุกเรื่องถ้าเรามีความใจเย็นเป็นทุน โอกาสชนะของเราก็มากกว่าครึ่งหนึ่งแล้วนะ" ลุงป๊ง กล่าวทิ้งท้ายก่อนที่เราจะก้าวเข้าสู่บทเรียนต่อไป
       
       นอกจากจะต้องเลือกให้เป็นว่าผลไม้ชนิดไหนควรซื้ออย่างไร อย่างไหนที่เรียกว่าตำหนิ อย่างไหนที่เรียกว่าค้างคืนแล้ว ขั้นสุดท้ายของการเลือกซื้อคือ "การวัดระดับความจริงใจ" ด้วยเหตุผลที่ลุงป๊งเพิ่งผ่าตัดเปลี่ยนมาใส่ดวงตาเทียมทำให้ความเฉียบคมในการมองเห็นลดน้อยลงจึงต้องอาศัยซื้อจากคนคุ้นเคย หรือจากการถามไถ่ประกอบการมองเห็น
       
       "อย่างแตงโมเราต้องรู้ก่อนว่ามีกี่ประเภท แบบไหนเรียกแตงสวน แบบไหนเรียกแตงไร่ แตงค้างคืนต้องมีลักษณะอย่างไร ก่อนจะซื้อเราก็ต้องถามคนขายดูว่าเขาจะบอกเราจริงมั้ย ตรงมั้ย อย่างชมพู่นี่ซื้อยากมากเพราะไม่สามารถตรวจได้ทุกลูกก็อาศัยความเชื่อใจ จริงใจต่อกันนี่แหละเข้ามาเป็นตัวช่วย" บทเรียนสุดท้ายของหัวเรื่องการซื้อผลไม้นี้ทำให้เราเกิดความอุ่นใจขึ้นมาเล็กๆ ว่าในโลกซึ่งผู้คนมักนิยมชมชื่นกันที่เงินตราใบนี้ยังมีคนอีกกลุ่มที่ใช้ความจริงใจเป็นอัตราแลกเปลี่ยน แม้จะเป็นสกุลเงินที่มีค่าเพียงน้อยนิด แต่ก็กว้านซื้อไม่ได้ด้วยกระดาษศักดิ์สิทธิ์สีแดง, ม่วง,เทา...
       
       ตั้งสมาธิ พร้อมจรดปลายมีด
       หลังจากเดินเลือกซื้อผลไม้มาอย่างเหน็ดเหนื่อย เราก็ต้องมาตั้งสมาธิอีกครั้งก่อนจะจดปลายมีดลงไปบนเปลือกหนาของผลไม้เหล่านั้น แต่การจรดปลายมีดหนัก เบาลงไปในแต่ละครั้งไม่ได้หมายเพียงการปอกเปลือกจนเกลี้ยงเกลา ทว่าการทิ้งน้ำหนักลงไปบนลูกผลไม้ในแต่ละครั้งย่อมหมายถึงรสชาติ ความหอมหวาน และความน่าทานรวมอยู่ด้วย
       
       "บางอย่างปอกเกลี้ยงเกินไปก็ไม่อร่อย บางอย่างต้องปอกตื้นๆ บางอย่างปอกลึกไปแล้วความหอม หรือความหวานจะลดลงทันที" นี่คือคำแนะนำที่ฟังดูเหมือนจะทำง่ายแต่เอาเข้าจริงกว่าจะปอกจนชำนาญต้องใช้เวลาฝึกปรือเกือบ 1 ปีเต็ม อย่างมะม่วงนี้ถือได้ว่าเป็นผลไม้ปราบเซียนถ้าเป็นมะม่วงมันก็จะต้องปอกไม่ให้เกลี้ยงเกินไปแต่ก็ไม่ใช่ว่าเหลือเปลือกติดอยู่เต็มไปหมดจนคนไม่กล้าซื้อ ถ้าเป็นมะม่วงสุกก็ต้องปอกให้เกลี้ยงแต่ก็ต้องไม่จับจนช้ำอีกเช่นกัน ทั้งยังต้องระวังไม่ให้ปอกลึกเกินไปจนเสียรสชาติความหวาน ปอกตื้นก็จะมีความขมของเปลือกพอให้ติดลิ้นอยู่บ้าง ต้องปอกโดยทิ้งน้ำหนักกลางๆ ก็จะได้มะม่วงที่ทั้ง หอม หวาน สวยน่าทาน
       
       กระบวนการผลิตผลไม้ของลุงป๊งไม่ได้หยุดอยู่แค่ "ปอกเสร็จ ใส่ถุง จับวางลงถังน้ำแข็ง สตาร์ทรถเวสป้า ขับวนรอบจุฬาฯ ขายเสร็จ กลับบ้าน อาบน้ำ เอนหลัง" แต่ตลอดช่วงชีวิตที่ลุงได้ขายผลไม้มาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ากระบวนการผลิตของลุงเกิดขึ้นได้ทุกวัน ทุกเวลา และทุกสถานที่
       
       ที่ใต้ถุนตึกลุงมักเข้าไปนั่งคุย และไถ่ถามนิสิตว่าอยากทานอะไร ส้มที่ทานเมื่อวานอร่อยมั้ย
       
       วันเสาร์ตอน 4 ทุ่ม หลังละครเวทีเลิกลุงก็ยังคงยืนขายผลไม้อยู่ที่หน้าทางออกเผื่อใครหิวตอนดึก และเผื่อจะได้ข้อมูลจากลูกค้ากลุ่มใหม่
       
       กลับบ้านลุงนั่งคุยกับแฟนว่าทำยังไงดีเงาะขายไม่ออกเลย ถูกแล้วผิด ผิดแล้วถูก คิดแล้วลอง ลองอยู่จนดึกดื่น รุ่งขึ้นเงาะคว้านเม็ดก็ถูกนำออกวางตลาด
       
       "ตอนนี้ลุงกำลังพัฒนาส้มสายน้ำผึ้งอยู่ กำลังหาวิธีเอาเม็ดออก เพราะลูกค้าชอบทานส้มพอหมดหน้าส้มเช้งลูกค้าก็ถามหา ลุงก็เลยคิดต่อไปว่าถ้าไม่มีส้มเช้งเราจะสามารถเอาส้มเขียวหวานมาขายได้อย่างไรโดยให้ลูกค้ายังชอบอยู่และแน่นอนว่าลูกค้าชอบทานแบบไม่มีเม็ด แฟนลุงก็เลยเริ่มลองใช้มีดเลาะเม็ดออกอยู่แต่ยังทำไม่สวย เลยคิดต่อไปว่าทำอย่างไรจะให้สวย น่าทานมากกว่าที่เป็นอยู่" ลุงป๊งยังบอกอีกว่ามีผลไม้หลายอย่างที่ยังไม่ได้พัฒนาแต่ก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่.....
       
       เงิน งาน และความสุข
       
       น้อยครั้งนักที่เราจะเห็นคนที่มีความสุขกับงานที่ทำได้มากถึงเพียงนี้ ความสุขของลุงป๊งไม่ได้อยู่ที่เม็ดเงินอย่างที่บัณฑิตใหม่ทั้งหลายกำลังมองหา ความสุขของลุงป๊งไม่ได้ขึ้นอยู่กับความใหญ่โตในตำแหน่งหน้าที่ แต่ลุงก็สามารถทำให้ผลไม้ในถังใบเล็กๆ เปลี่ยนเป็นความสุขแก่ผู้ที่ได้ทาน ผิดกับนักบริหารที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องแอร์แต่ไม่เคยคิดที่จะสร้างสรรค์ความสุขที่แท้จริงให้กับคนในสังคม
       
       ลุงป๊งอาจเป็นเพียงแค่ฟันเฟืองชิ้นเล็กๆ ที่มิอาจสร้างพลังในการขับเคลื่อนสังคมให้ไปในทิศทางใดๆ ได้ แต่ลุงป๊งก็ยังคงพร่ำบอกกับนิสิตที่กำลังจะจบทั้งหลายที่เข้ามาซื้อผลไม้ลุงว่า "ตั้งใจทำงานนะ ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองของเราเอง
 
 
อ้างอิงจาก http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9480000052434

(มีรูปด้วยนะคะ)
 

ชั้นคือสาวน้อยน่ารักผู้พิทักษ์ความรักและความยุติธรรม เซเล่อมูน...ตัวแทนจากดวงจันทร์จะลงทันแกเอง

CUD44~ARTS CU 77
อุซางิจัง..CUD44
ผิดไหม...ที่แอบรักครู55+
Sr. Somsri'S Fanclub
Hero Member
*****
:
: 4341


เป็นน้องสาวแองจี้แล้วผิดไม๊


« #7 : February 02, 2008, 09:24:44 PM »

ปูน้อย หรือ อ้อยหวาน.. เขา ( หรือเธอ ) เป็นใครมาจากไหน ไม่มีใครรู้ บ้านอยู่ไหน ตัวตนที่แท้จริงเป็นใคร ก็ไม่มีใครรู้อีกเช่นกัน มีเพียงเสียงลือเสียงเล่าอ้างต่างๆนานา
ที่เห็นเป็นจริงเป้นจังที่สุดก็คือเป็นนิสิต คณะแพทย์ จุฬา ที่เกิดคลุ้มคลั่งเพราะเห็นหญิงคนรักถูกรถชนตายต่อหน้าต่อตา บ้างก็ว่าในอ้อมแขนด้วยซ้ำ
มีคนเคยลอบสะกดตามพี่อ้อยหวาน เพื่อจะสืบหาว่าบ้านเขาอยู่ไหน เป็นใคร แต่ถูกพี่อ้อยหวานจับได้เสียก่อน ( น่าน ยังกะหนังจารกรรมหักเหลี่ยมเฉือนคมยังไงยังงั้น.. )
แต่เดิม ( ไม่รู้ว่าเดิมแค่ไหน เพราะตั้งแต่ปี 253* ก็มีคนร่ำลือถึงเขาแล้ว.. ) ในตอนนั้น พี่อ้อยหวานมาในมาดชายหนุ่มผอม แห้ง เซอร์ ซกมกเล็กน้อย
ไม่นานต่อมา พี่อ้อยหวานก็"เปี้ยนไป๋" มาในมาดสาวเปรี้ยว เสื้อกระโปรงรุงรัง รองเท้าส้นสูงปรี๊ด หอบหนังสือไปมา แต่ยังคงความซกมกเหมือนเดิม ( อาจจะทวีมากขึ้นด้วยซ้ำ )
แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันคือ พี่ปูน้อย-อ้อยหวาน ไม่เคยเป็นพิษเป็นภัยกับใคร พี่ท่านจะตระเวนไปตามมหาลัยต่างๆ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สามย่าน บ้างว่าพี่ท่านไปไกลถึงรังสิตด้วยซ้ำ
( จริงๆสมัยนั้นพี่ท่านก็ไปถึงกระทรวงการคลังแล้วนะ งึมๆ )
.
เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของพี่อ้อยหวาน นอกจากสไตล์การแต่งตัวที่โดดเด่น และความไม่ธรรมดาของพี่ท่านแล้ว คือ.. เพลงปู ( ไม่ใช่ปูทันนะปู.. )
"พวกเราชาวปู อยู่ในรู กระดึ๊บๆ"
เสียงเพลงนี้ ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ของนักศึกษาหลายต่อหลายสถาบัน ที่ได้รู้จักพี่อ้อยหวาน
บางคนได้รับบรรดาศักดิ์จากพี่อ้อยหวาน เป็นชาวดาวโลมาเตาะแตะ ราชินีแตงโม หรือเทพธิดาลำไย..
.
ความมหัศจรรย์ของพี่อ้อยหวานยังไม่หมดแค่นั้น.. ใครว่าเขาเป็นแค่คนบ้า คงต้องคิดใหม่
คนบ้า(?)อย่างพี่อ้อยหวานนั้น สามารถ..
- ติวเนเจอร์ไซน์บ้าง แคลคูลัสบ้าง ให้นิสิตนักศึกษาทั้งตรีทั้งโท
- เล่าพระไตรปิฎก ไตรภูมิพระร่วงได้เป็นฉากๆอย่างคล่องแคล่ว
- มีความรู้ด้านภาษาบาลี และสันสกฤต รวมถึงภาษาฮินดี(?)
แรงบ้า(?)นี้ ประทับใจถึงขนาดซีเปียหยิบไปแต่งเป็นเพลงมาแล้ว คือเพลง"อ้อยหวาน"ในอัลบั้ม "สองเอก" ของซีเปียนั่นเอง
( เฮียเจะโบะ.. ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านมี ลงเนื้อให้ซะดีดี อิอิ )
.
อ้อยหวานเป็นใคร อ้อยหวานมาจากไหน.. ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป
ที่แน่ๆ พี่ปูน้อย-อ้อยหวาน จะเป็นตำนานในใจของนิสิต-นักศึกษา ตราบนานเท่านาน..


อ้างอิงพันทิพย์.คอมค่ะ
 

ชั้นคือสาวน้อยน่ารักผู้พิทักษ์ความรักและความยุติธรรม เซเล่อมูน...ตัวแทนจากดวงจันทร์จะลงทันแกเอง

CUD44~ARTS CU 77
อุซางิจัง..CUD44
ผิดไหม...ที่แอบรักครู55+
Sr. Somsri'S Fanclub
Hero Member
*****
:
: 4341


เป็นน้องสาวแองจี้แล้วผิดไม๊


« #8 : February 02, 2008, 09:27:42 PM »

http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/A3062547/A3062547.html

ลิ้งนี้มี3ตำนานจุฬาครบเลยค่ะ

ทั้ง อาม่าจีฉ่อย

ลุงฟรุ๊ตตี้

แล้วก็พี่อ้อยหวาน
 

ชั้นคือสาวน้อยน่ารักผู้พิทักษ์ความรักและความยุติธรรม เซเล่อมูน...ตัวแทนจากดวงจันทร์จะลงทันแกเอง

CUD44~ARTS CU 77
^DoCtOr^
Full Member
***
:
: 136


SHI69


« #9 : February 03, 2008, 01:43:29 AM »

อีก 4 เดือนจะรอพิสูจน์ฯ   555+
 

ARTS-MATH TU68
SHI69 CU
อุซางิจัง..CUD44
ผิดไหม...ที่แอบรักครู55+
Sr. Somsri'S Fanclub
Hero Member
*****
:
: 4341


เป็นน้องสาวแองจี้แล้วผิดไม๊


« #10 : February 03, 2008, 08:27:10 PM »

เอามาโพสหาข้อมูลล่วงหน้าเตรียมใช้ชีวิตในจุฬาเต็มที่โอ๊ส
 

ชั้นคือสาวน้อยน่ารักผู้พิทักษ์ความรักและความยุติธรรม เซเล่อมูน...ตัวแทนจากดวงจันทร์จะลงทันแกเอง

CUD44~ARTS CU 77
destroy & develop
ตื่นๆ จะเอนซ์แล้ว
Jr. Somsri'S Fanclub
Hero Member
***
:
: 1911


mental disorder


« #11 : February 04, 2008, 05:51:46 PM »

เห็นอาจารย์ที่สอนพิเศษผมก็บอกถึงร้านนี้เหมือนกันครับ รู้แค่ว่าพวกนิสิตจุฬาชอบไปซื้อของ(ทำอะไรก็จำไม่ได้แล้วอ่ะ)

พี่some1incud44 ใช่ป่าวครับที่ได้รางวัลไก่โฮตอนHILIGHT2อ่ะ ในห้องไม่เห็นหลับเลยแฮะ อึดจัง{หรือป่าวเหนอ}คงไม่ใช่คนที่นอนตอนพักกินข้าวและนอนตรงบนเวทีเหนอะ 

อยากไปใช้บริการของร้านจีฉ่อยจัง แต่ยังม.ต้นอยู่เลยอ่ะคิดเข้าเตรียมดีกว่า อย่าพึ่งไปคิดเรื่องที่ยังเป็นอนาคตที่ยาวไกล

 
อุซางิจัง..CUD44
ผิดไหม...ที่แอบรักครู55+
Sr. Somsri'S Fanclub
Hero Member
*****
:
: 4341


เป็นน้องสาวแองจี้แล้วผิดไม๊


« #12 : February 04, 2008, 08:42:15 PM »

เหอะๆคนไหนหรอไม่รู้เรื่อง

รางวัลไก่โห่น้องไม่ใช่ไก่โฮ

ตกภาษาไทยป่าวๆ

55+

เชิญไปคุยกะน้องแจมเถิดอย่ามายุ่งกะชั้นเรย
 

ชั้นคือสาวน้อยน่ารักผู้พิทักษ์ความรักและความยุติธรรม เซเล่อมูน...ตัวแทนจากดวงจันทร์จะลงทันแกเอง

CUD44~ARTS CU 77
destroy & develop
ตื่นๆ จะเอนซ์แล้ว
Jr. Somsri'S Fanclub
Hero Member
***
:
: 1911


mental disorder


« #13 : February 04, 2008, 10:14:26 PM »

ก็ได้ครับ แต่พอดีแจมเข้าไม่ได้ออนไลน์เลยไม่มีคนคุยเลยอ่ะครับ ก็เลยมาคุยกับพี่(หวังว่าคนนั้นนะ)และถ้าพี่เคื่องผมก็ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้รำคาญ

คงได้เจอกันอีกนะครับ
 
อุซางิจัง..CUD44
ผิดไหม...ที่แอบรักครู55+
Sr. Somsri'S Fanclub
Hero Member
*****
:
: 4341


เป็นน้องสาวแองจี้แล้วผิดไม๊


« #14 : February 05, 2008, 10:51:55 PM »

?หมายความว่างายยยย
 

ชั้นคือสาวน้อยน่ารักผู้พิทักษ์ความรักและความยุติธรรม เซเล่อมูน...ตัวแทนจากดวงจันทร์จะลงทันแกเอง

CUD44~ARTS CU 77
: [1] 2  
:  

+

Sorry, the copyright must be in the template.
Please notify this forum's administrator that this site is missing the copyright message for SMF so they can rectify the situation. Display of copyright is a legal requirement. For more information on this please visit the Simple Machines website.