สาธุ ๆ
อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
พูดถึงเรื่องบุญ เราอธิบายเรื่องบุญไว้ดีกว่าเนอะ
คนเรารู้จักว่าบุญคือการทำทานเท่านั้น
ที่จริงแล้วพระพุทธองค์ได้ตรัสถึง บุญกิริยาวัตถุ 3 และบุญกิริยาวัตถุ 10 เอาไว้
บุญกิริยาวัตถุ 3 มีดังนี้ครับ
- ทานมัย คือ บุญที่สำเร็จด้วยการให้ เริ่มตั้งแต่วัตถุทาน เช่น สังฆทาน ไปจนถึงอภัยทานและธรรมทาน*
- ศีลมัย คือ บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล ไม่เบียดเบียนผู้อื่น รักษากิริยาและวาจาให้ดี
- ภาวนามัย คือ บุญที่สำเร็จด้วยการกระทำหรือการปฏิบัติชอบ เช่น การสวดมนต์ ทำสมาธิ เป็นการขัดเกลาจิตใจที่ดี
ส่วนบุญกิริยาวัตถุ 10 ก็มี 3 ข้อข้างต้น อีก 7 ข้อก็มีดังนี้
- อปจายนมัย การอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ข้อนี้สำคัญสำหรับผู้อ่อนอาวุโสนะครับ
- เวยยาวัจมัย การช่วยเหลือผู้อื่น หรือการขวนขวายในกิจอันชอบ ซึ่งจะทำประโยชน์สูงสุดให้ตนเองมีความสุข
- ปัตติทานมัย การแผ่ส่วนบุญ อันนี้ก็เป็นการส่่งเมตตาจิตให้ผู้อื่นได้รับกุศลไปด้วย ก็ได้บุญอีก
- ปัตตานุโมทนามัย การอนุโมทนาบุญหรือยินดีในการกระทำที่เป็นกุศลทั้งหลายจากใจจริง
- ธัมมัสสวนมัย การฟังธรรม เพื่อทำให้ตนเองพ้นจากอวิชชาคือความไม่รู้
- ธัมมเทสนามัย การแสดงธรรม ทำให้ผู้อื่นได้พ้นจากอวิชชาคือความไม่รู้
- ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็นให้ตรง คือการเชื่อในบาปบุญคุณโทษ เชื่อในผลของกรรม เชื่อในการปฏิบัติดี
อยากศึกษาเพิ่มเติมไปที่
http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/010076.htm นะครับ
*ขออธิบายในส่วนของทานนิดนึงนะครับ หลายคนเถียงกันว่า อภัยทานหรือธรรมทานกันแ่น่ คือทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ต้องขออธิบายตามความเห็นนะครับว่า สิ่งประเสริฐในโลกแบ่งอย่างคร่าว ๆ ได้ 2 ส่วนคือความรักและแสงสว่าง
ความรัก เช่น ความเมตตา กรุณา เสียสละ สูงสุดคือความรักอันไร้เงื่อนไข เป็นการให้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน
แสงสว่าง คือ ปัญญา อันเป็๋นเครื่องทะลุทลวงมิจฉาธรรมทั้งหลายให้สิ้น สูงสุดคือ ธรรมะอันประเสริฐซึ่งเป็นเครื่องหลุดพ้น
จึงกล่าวได้ว่า อภัยทาน เป็นทานสูงสุดด้านความรักอันไร้เงื่อนไขจริง ๆ ให้อภัยตนเองและผู้อื่น ซึ่งสูงสุดก็คือให้อภัยศัตรู
เพราะเป็นการยากที่จะทำได้ ส่วนธรรมทาน เป็นทานอันประเสริฐสุดในฝ่ายแสงสว่าง เพราะย่อมทำให้ตนและผู้อื่น พ้นจากความเห็นผิด
จะกล่าวว่า ความรักแยกจากแสงสว่างชัดเจนย่อมมิได้ จะกล่าวว่าความรักอยู่ในแสงสว่างหรือแสงสว่างอยู่ในความรักก็มิได้
แท้ที่จริงทั้ง 2 สิ่งนี้เป็นปัจเจกต่อกัน และเมื่อเป็นปัจเจกจึงเกี่ยวกัน(ตรงนี้อาจยากนิดนึงนะครับ)
เพราะถ้าพิจารณาว่าเราให้อภัยทานซึ่งเป็นฝ่ายความรักแล้ว ก็จะกล่าวได้่่ว่า ผู้นั้นได้พัฒนาธรรมะในตนซึ่งก็เป็นฝ่ายแสงสว่างเช่นกัน
หรือถ้าเราให้ธรรมทานซึ่งเป็นแล้วฝ่ายแสงสว่าง ก็ย่อมจะมีอภัยทานกับทุกสิ่งเพื่อทำให้ธรรมทานนั้นสมบูรณ์
ดังที่มีการแผ่เมตตาหลังทำบุญ จึงกล่าวได้ว่า หากเราเริ่มทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว ย่อมเป็นปัจจัยให้สำเร็จอีกสิ่งหนึ่งตามมา
เราจึงต้องเริ่มทำความดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อจะได้ให้ความดีเป็นปัจจัยให้เราพัฒนาตนทำควา่มดีต่อไปไม่สิ้น