
หนูเรียนกับคุณครูมาตั้งแต่ ม.2 แล้วค่ะ จนตอนนี้อยู่ ม.3 แล้วล่ะ (อยู่สาขาบางกะปิ) หนูรู้สึกดีมากๆเลยกับการเรียนการสอนของครู เพราะครูให้ทั้งความรู้ ความสนุก แล้วก็ความกตัญญูด้วย คุณครูชอบเล่าถึงความกตัญญูที่มีต่อคุณพ่อคุณแม่ ตอนนั้นหนูก็รู้สึกประทับใจมากๆเลย แล้วนำกลับมาปฏิบัติ มีอยู่ครั้งหนึ่ง คุณครูบอกว่า "ให้เราบอกรักพ่อเเม่ทุกวัน เพราะอาจจะมีวันที่เราไม่มีพ่อแม่ให้บอกรัก" ตอนนั้นหนูคิดว่า "มันก็จริงอยู่ แต่มันจะดู
โอว์เวอร์ไปไหม? " แต่ก็ยังทำตามที่ครูบอกกลับโดยการกลับไปบอกรักพ่อแม่ ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน พ่อหนูก็ไม่สบายป่วยเป็น "มะเร็งตับอ่อน" ขั้นแพร่กระจาย ซึ่งคุณพ่อเป็นคนที่รักสุขภาพมาก ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ตอนนั้นแม่กับหนูรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มโลกทลายเลยทีเดียว ตั้งแต่วันนั้นชีวิตเราสองคนก็เปลี่ยนไป จากเด็กที่พ่อแม่ตามใจดูแลอย่่่างดีเพราะเป็นลูกคนเดียว ไม่ค่อยได้ไปผจญโลกภายนอก อยากได้อะไรพ่อก็จะหามาให้เท่าที่จะทำได้ อย่างเช่นตอนหนุเด็กๆ จำได้ว่าไปห้างฯแล้วเดินผ่านร้านขายหนังสือแล้วเหลือบไปเห็นหนังงสือวาดภาพระบายสี "หนูน้อยโดเรมี" เล่มใหม่เข้า หนูบอกว่าหนูอยากได้ แต่พ่อบอกว่า "ที่บ้านมีเยอะแล้วไม่เอาๆ" หนูก็พยายามง้อแต่พ่อก็ลากหนูกลับบ้าน จนกลับไปบ้านหนูก็ยังงอนพ่อไม่เลิก ครูเชื่อมั้ยคะ ว่าหนุอยากได้จนร้องไห้ O_O โอ้ววววว จนทำให้พ่อทนไม่ไหว เวลา 2 ทุ่มกว่า พ่อต้องยอมออกจากบ้านไปซื้อหนังสือเล่มนั้นให้ แต่พอไปก้พบว่าร้านใกล้ปิดแล้วก็เลยขอพี่พนักงานเข้าไปซื้อหนังสือให้ลูก และในที่สุดหนูก็ได้หนังสือวาดภาพพระบายสีเล่มนั้นมา หนังสือที่เมื่อเปิดออกมาแล้วต้องใช้คำว่า "ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย" หนูเสียใจมากในตอนนั้นที่ได้สิ่งของที่ไม่คุ้มค่าการรอคอย แต่ตอนนั้นหนูไม่คิดจะเห็นความรักของพ่อเลยสักนิด และเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้หนูรู้สึกผิดมากๆเลย
พ่อมักจะตื่นตี 4 ลุกขึ้นมาจัดเตรียมอาหารเช้าให้หนูกับแม่ จากนั้นจึงค่อยแต่งตัวไปทำงาน กลับบ้าน 2-3 ทุ่ม กว่าจะเจอกันบางครั้งหนูก็นอนแล้ว วันเสาร์ก็ต้องไปหาอาม่าทั้งวัน พอวันอาทิตย์ก็ต้องไปโบสถ์ (เป็นคริสต์ค่ะ) กลับมาก็เหนื่อยแล้ว ครอบครัวหนูเลยไม่ค่อยมีเวลาได้ไปเที่ยวหรือทำอะไรร่วมกัน แต่ก็ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีอะไรคุยด้วยกันได้หมดทุกเรื่อง เพราะเรามีกันอยู่ 3 คน
หลังจากที่ได้ข่าวว่าพ่อเป็นมะเร็ง ต้องเข้าไปรักษาตัวที่ รพ พระมงกุฏฯ ซึ่งอยู่ในเมืองแต่บ้านหนูอยู่พัฒนาการ และตอนนั้นก็เป็นช่วงเปิดเทอมด้วย ณ จุดนั้นเรื่องมากมายก็ถาโถมเข้ามา ทั้งเรื่องคุณพ่อ เรื่องแม่ต้องไปส่งหนูที่ รร แล้วก็เรื่องที่แม่ต้องรับหนูตอนเย็น หลังจากเรียนพิเศษทุกวันจันทร์ อังคาร อีก...... แม่เครียดมากๆ ไม่ร้จะจัดการยังไงดีเพราะที่ผ่านมาพ่อก็เป็นคนแฮนเดิลเรื่องส่วนใหญ่ในบ้านเหมือนกัน ไม่ค่อยปล่อยให้แม่ทำอะไรมากนอกจากดูแลบ้าน แล้วก็จัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆต่างๆ แต่หลักใหญ่ๆอยู่ที่พ่อ แต่เมื่อตอนนี้พ่อหนูต้องเข้า รพ ทุกอย่างจึงต้องตกอยู่ที่แม่หนูเพียงคนเดียว ตอนแรกแม่บอกว่าแม่จะนอนที่ รพ กับพ่อ ตื่นเช้ามาจะออกนอกเมืองมารับหนุไปส่งที่ รร แล้วก็กลับไป รพ อีก ขากลับ รร แม่ก็ต้องมารับหนูกลับ ซึ่งมันยุ่งยากมาก หนูจึงตัดสินใจกลับบ้านเองโดยการขึ้นรถเมล์ เพาะบ้านหนูแค่ 3 ป้ายก็ถึงแล้ว แต่แม่ห่วงหนูบอกว่าแม่ทำได้ แต่สุดท้ายใครมันจะไปไหวเล่นกลับไปๆอย่างงี้ หนูเลยใช้วิธีว่า ให้ยายมาอยู่ด้วย แล้วตอนเช้าเพื่อนข้างบ้านจะไปส่งแล้วขากลับหนูก็กลับเอง ซึ่งถือว่าเป็นการขึ้นรถเมล์ครั้งแรกในชีวิตเลยก็ได้ และเป็นครั้งแรกที่ไม่มีการเตรียมตัวใดๆทั้งสิ้น คือต้องขึ้นจริงเลย โดยขณะที่เพื่อนๆหนูเขาต้องหัดนั่งรถกันประมาณหลายอาทิตย์ และในระหว่างนั้นหนูก็เจอเรื่องราวต่างๆมากมายทั้งในที่ รร แล้วก็เรื่องที่อาการของพ่อนั้นทรุดลงๆๆเรื่อยๆ จนต้องลาออกจากงานมาพักอยู่บ้าน และให "หนู!" ดูแลพ่อ ส่วนแม่ก็ไปวิ่งเรื่องต่างๆซึ่งมีมากมาย บางครั้งหนูก็โมโหพ่อเพราะพ่อชอบเรียกร้องอะไรมากมายเหลือเกิน จนหนูเหลืออดไปหลายรอบ จนลืมคิืดไปว่า "พ่อเราไม่สบายอยู่นะ จะอยู่หรือไปเท่ากัน" ตอนนี้ก็ผ่านไปปีนึงแล้วกับการต่อสู้กับโรคร้ายนี้ พ่อมีอาการปวดหลังปวดตามข้อ ไม่มีแรง ซึ่งเป็นผลจากการผ่าตัดแล้วก็ให่เคมี แรกเริ่มคุณพ่อปวดหลังเมื่อยืนมากๆก็จะเจ็บมาก จึงไม่ค่อยยอมเดิน จนกล้ามเนื้อรีบแล้วเลยกลายเป็นว่า ไหล่ก็ติดผกแขนไม่ขึ้น ขาก็ไม่มีแรงอีก ต้องนั่งอย่างเดียว เรียกได้ว่า "เป็นกึ่งๆคนพิการ" เลยก็ว่าได้ ภารพทุกอย่างจึงตกเป้นของแม่&หนุ จนเมื่อวันจันทร์ที่27 กันยายน ที่ผ่านมาพ่อไม่ไหวต้องเข้า รพ อีกครั้ง แต่โชคดีที่ครั้งนี้หนูปิดเทอม (แต่ติดเรียนสมสรีที่ลงและจ่ายเงินไปแล้ว!!!! เพาะไม่คิดว่าพ่อจะเป็นหนักขนาดนี้) จากนั้นคุณหมอบอกว่าตัวมะเร็งได้ลามไปถึงตับ ปอด และสมองบางส่วนแล้ว เพราะพ่อมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง การรักษาอยู่ในระยะ "ประคับประคอง" นั่นแสดงว่าพ่อไม่มีวันหายนอกจากปฏิหารเท่านั้น ถึงกระนั้นหนูก็ทำให้พ่อเสียงใจ เพราะเนื่องจากการที่ของเสียมันขึ้นสมองทำให้พ่อมีอาการหลอนอยู่เรื่อย เห็นอะไรที่มันไม่จริง จนมาวันหนึ่งเพื่อนๆที่ทำงานพ่อมาเยี่ยมแล้วพ่อบอกว่าให้หนูไปหยิบเอกสารข้างๆโต๊ะกลมมา แล้วชี้ไปที่ข้างๆทีวี ซึ่งข้างๆทีวีไม่มีอะไรเลย แล้วหนูก็บอกว่า "ป๊า ข้างๆทีวีไม่มีโตีะอะไรเลยนะ ป๊าหลอนไปเอง" และคำพูดคำนี้ทำให้พ่อเสียใจมาก บอกว่าหนูไม่ยอมฟังเขา หนุเอาแต่พูดว่าป๊าหลอนๆ (ซึ่งมันก็เป็นอาการแบบนี้จริงๆ) แล้วพ่อก็บอกว่า "รู้มั้ยหนูทำให้ป๊าเสียใจ หนูทำแบบนี้ทำไม หนูไปบอกว่าป๊าหลอน ป๊าบ้าต่อหน้านักข่าว! ตอนนี้คนอื่นมองป๊าเป็นคนบ้าแล้ว หนูไม่เคยดูความจริงเลย" หนูเลยบอกว่า "ป๊า นี่เพื่อนป๊านะ ไม่ใช่นักข่าว หนูขอโทษ" ป๊ามองหนูแบบ.......แค้นหนูมาก หนูทำให้พ่อเสียใจมากๆๆๆ (ถึงแม้ว่าสิ่งที่พ่อพูดจะไม่เปป็นความจริงก็ตาม) ทั้งๆที่พ่อไม่สบายอยู่แล้วเเท้ๆ หนูน่าจะกลั่นกลองความคิดมากกว่านี้ T^T
ในวันพฤหัสที่ผ่านมา คุณพ่อผู้จัดเตรียม ของหนคนนี้ ก็ได้จากไปแล้ววววว หนูเศร้า่มากๆเลยค่ะครู ไม่รู้จะทำไงดี หนูไม่รู้ว่าพ่อให้อภัยหนูมั้ย หรือว่ามีเรื่องอะไรอีกที่หนูยังไม่ได้ขอโทษพ่อ หนูยังคิดไม่ตกเลยค่ะ แล้วตอนนี้หนูก็เหลือแต่แม่คนเดียวแล้ว แล้วแม่ก็ 5o แล้วส่วนหนูก็แค่ 14 อีกนานกว่าจะจบ ไม่รู้จะยังไงต่อไป เงินก็มีไม่มาก T^T คุณครูช่วยหนูด้วยนะคะ หนูไม่รู้แล้ว ><
ปล. อยากบอกเพื่อนๆทุกคนว่า สำหรับคนที่พ่อแท่ยังอยู่ เราขอเหอะนะ อย่าไปโกรธ อย่าไปอะไรแกเลย บอกรักแกเยอะๆ ไม่ทำให้แกเสียใจ แค่นี้ก้พอแล้ว เพื่อนๆก็จะได้ไม่ต้องเสียใจเหมือนเรา เวลาที่ไม่มีใครให้เราบอกรักแล้ว...... จริงๆนะ ^^