สวัสดีค่ะอาจารย์สมศรี หนูเห็นข้อความที่อาจารย์เตือนสติคนอื่นๆแล้วรู้สึกว่าตัดสินถูกที่มาเรียน
ความจริงตอนนี้หนูหดหู่มากค่ะ หนูไปดูเกรดแต่ละวิชามา ไม่รู้ทำไมหนูรู้สึกว่าตัวเองยิ่งเรียนยิ่งแย่ หนูไม่เคยคิดว่าตัวเองโง่เลย
ตอนดูเกรดมันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก หนูได้คะแนนน้อยกว่าเพื่อนในกลุ่มทุกคน
อังกฤษที่ปกติเกรดไม่เคยหล่นก็ฮวบลงมาเพื่อนคนหนึ่งของหนูที่ไม่เก่งกลับได้คะแนนดีเฉยเลย
หนูไม่เคยเสียความมั่นใจขนาดนี้มาก่อน ตอนที่เปิดเทอมหนูก็เครียดมากๆต้องเรียนเคมี ชีวะ ฟิสิกส์อย่างหนัก
จนเรียกได้ว่าเวลาที่หนูอยู่บ้านคือตอนนอนเท่านั้น
และที่กดดันคือเหมือนเพื่อนเยาะเย้ยค่ะ บางทีหนูอาจจะคิดไปเอง
แต่หนูว่าใช่ ปกติหนูเป็นคนที่การเรียนอยู่เกณฑ์ดีแต่มาคราวนี้เหมือนเครียด กดดันจนเกรดตก
พอวิชาไหนหนูได้น้อยกว่าเขาก็จะแกล้งถามทั้งๆที่ปกติเขาเกรดน้อยกว่าหนู
หนูรู้ว่าเขากำลังเยาะเย้ยเลยเฉยเอาไว้ไม่ได้ว่าอะไร แต่ความคิดมันสวนทางกันค่ะ
หนูตกใจกับความคิดตัวเองมากๆคือหนูเริ่มพาลโกรธเพื่อน ไม่อยากยุ่ง และเริ่มเกลียดเพื่อนในกลุ่มค่ะ
คิดว่าทำไมเขาถึงเกรดมากกว่าทั้งๆที่หนูก็พยายาม ถ้าได้มากกว่าแล้วทำไมต้องมาเย้ยกันอย่างนี้
คิดในแง่ลบเสมอเวลาที่พูดถึงเพื่อน หนูบ้ามากเลยใช่มั๊ยค่ะ
ตอนนี้หนูไม่อยากคุยอะไรกับเพื่อนเลยค่ะ เพราะรู้สึกเหมือนเขาจะดีกับหนูเฉพาะตอนที่หนูมีประโยชน์แค่นั้น
ตอนนี้หนูได้แต่คิดว่าหนูต้องพยายามมากกว่าเดิมเหมือนที่อาจารย์บอก หนูไม่อยากเป็นไอ้ขี้แพ้
ขอบคุณที่สอนข้อคิดดีๆตอนเวลาเรียนค่ะอาจารย์สมศรี ผู้ที่เข้าใจเด็ก
ก่อนอื่นขออนุญาตจัดหน้าใหม่นะครับแล้วตอบกระทู้
พี่คิดว่า การพยายามอย่างเดียวคงไม่พอหรอกนะครับ
แต่ต้องเป็นการพยายามที่มีประโยชน์ด้วย คุณครูสอนเรื่องภาชนะในการรับบ่อย ๆื พี่เปรียบแทนละกันนะครับ
ว่าหากเราพยายามเยอะ แต่เครียดมาก ก็เปรียบดังแก้วปากแคบก้นกว้าง พื้นที่รับมันก็เยอะ แต่ประสิทธิภาพในการรับก็จะน้อยมาก
แต่ถ้าเราพยายามน้อย เครียดน้อย ก็เปรียบดังแก้วปากกว้างก้นแคบ อันนี้พวกโฟ่เก่ง แม้ประสิทธิภาพในการรับมาก
แต่พื้นที่รับน้อยเพราะมัวแต่โฟ่
ส่วนบางคนพยายามน้อย เครียดมาก อันนี้ก็แคบทั้งปากและก้น รับก็ยาก เต็มก็ยาก ไม่มีวันสำเร็จ
แต่ถ้าเราทำให้เป็นแก้วปากกว้างก้นก็กว้างตาม รับและเก็บย่อมมากตาม การที่จะทำได้ก็คือ พยายามและไม่เครียดนะครับ
ที่สำคัญต้องรู้จักพิจารณาสิ่งที่ตนทำว่ามีประโยชน์เพียงใด เช่น การทำข้อสอบ
มันจะช่วยทำให้เรารู้ศักยภาพของเรา ทำให้เห็นข้อบกพร่อง เปรียบดังน้ำที่หกอยู่ข้างแก้ว มันก็ไม่ได้อยู่แก้วอยู่ดี
ความรู้ก็เช่นนั้นครับ บางครั้ง เราดูเหมือนว่าเรามี แต่แท้ที่จริงแล้วเราไม่ได้มีมันจริง ๆ เพราะเรานำไปใช้ไม่ได้
"ชนะใดไม่สู้ ชนะใจตน" พี่ว่าอันนี้สำคัญนะครับ ถ้าเราทำคะแนนได้ 2 คะแนน
เพื่อนอีก 99 คน ได้ 1 คะแนน จาก 100 คะแนน
เราได้ที่หนึ่ง แล้วมีประโยชน์ฺอะไรหรอครับ มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย หรือ
ถ้าเราทำคะแนนได้ 99 คะแนนจาก 100 คะแนน เพื่อนอีก 99 คน ได้ 100 คะแนนเต็ม
เราเลยเรียนได้ที่สุดท้าย แสดงว่าเราไม่เก่งหรอครับ ก็กล่าวไม่ได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือแข่งกับใจเรานะครับ ว่าเราจะมีชีวิตที่มีความสุขที่สุดอย่างมีคุณค่าได้อย่างไร
เรียนแพทย์แล้วโดดตึก มีใครอยากได้ครับ ก็คงไม่ คะแนนมันไม่ได้ตีตราค่าความเป็นมนุษย์เลยนะครับ
มันเป็นเพียงสมมุติบัญญัติที่มาเป็นเกณฑ์ทำให้เราพยายามขึ้นเท่านั้นเอง
ส่วนเรื่องคนอื่นจะพูดยังไงกับเรา พี่ก็ขอสอนตามที่อาจารย์ของพี่สอนมาก็คือ
"คำพูดเบากว่าอากาศ"
สิ่งที่จะสอนก็คือ เราเห็นว่าอากาศเบาหรือเปล่าครับ เบามาก ๆ แล้วถ้าเบากว่าอากาศแล้ว ย่อมทำอะไรเราไม่ได้เข้าไปใหญ่ฉันใดก็ฉันนั้นครับ คำพูดของคนไม่สามารถสั่งให้เราเป็นอะไรได้ เว้นแต่เราเอาใจไปผูกกับมัน
ถ้ามีคนด่าเราว่าควาย ก็หันหลังไปดู ว่ามีหางมีเขาหรือไม่ ถ้าไม่แล้วก็ไม่ต้องไปสนใจครับแต่ถ้าจะสนใจ ก็สนใจว่า ทำไมเขายังว่าเรา แสดงว่าเรา้ต้องมีสิ่งที่เรายังทำไม่ดีเท่าที่ควรอยู่
ก็ปรับปรุงตน แล้วขอบคุณเขาในฐานะ "ครู" ผู้สอนให้เราเห็นความผิดพลาดของตัวเอง
ถ้าพิจารณาแล้วว่าเราำทำดีที่สุดแล้ว พัฒนาไม่ได้แล้วก็ไม่ต้องใส่ใจเขา
"คนถ่มน้ำลายรดตะวัน ไม่เพียงไม่ถึงตะวัน น้ำลายนั้นอาจกลับสู่ตัวเขาเอง" ฉันใดก็ฉันนั้น
ถ้าเราทำใจของเราให้ดี ไม่หลงไปกับลมปากที่เบากว่าอากาศ เพราะมันหาสาระมิได้ทำใจให้สูงส่ง ไม่ต้องใส่ใจ เขาเห็นว่าทำอะไรไม่ได้เขาก็เลิกเอง ถ้าเขาไม่เลิก คนอื่นก็ต้องเห็นแล้วต้องติเตียนความประพฤติเช่นนั้นอยู่ดี
สุดท้ายครับ
พี่ถามว่า ถ้าคุณครูของหนู สอนให้หนูเอ็นท์ติด แล้วมาทวงหนี้บุญคุณให้หนูทำอะไรต่าง ๆ นานา คงไม่ใช่ความปรารถนาดีที่แท้
แม้ว่าบุญคุณจะมีอยู่ แต่การกระทำอะไรก็ตาม เราควรทำเพราะเราเต็มใจและควรทำมากกว่านะครับ
หลายคนบอกว่า "ฉันให้เขาแล้วไม่คาดหวังอะไร นอกจากอย่าให้เขาคิดร้ายกับฉัีนก็พอ"
พี่ก็พูดว่ คำพูดอย่างนี้ก็ถือว่าเราไปคาดหวังกับคนอื่นแล้วนะครับ เพราะเรามิอาจหยั่งรู้จิตมนุษย์ได้ลึกซึ้ง
เราอาจพูดเพียงว่า "ฉันให้เขาแล้วไม่หวังอะไร ขอให้เขาเป็นสุขก็พอ" แล้วถ้าเขาไม่เป็นสุข เราก็ต้องปล่อยวาง
อย่างนี้สิครับ ไม่คาดหวังจริง แต่เพียงหวัง พี่ไม่ได้บอกให้เราหมดหวังนะครับ
แต่พี่สอนให้เราเพียง "หวัง" ไม่ใช่ "คาดหวัง" ยกตัวอย่างมาแล้วคงพอจะจับความแตกต่างได้นะครับ
การเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในโลกเป็นธรรมดาครับ ไม่เปลี่ยนสิแปลก
เราทำได้เพียงทำดีที่สุดแล้วยอมรับผลในการกระทำของเราภายใต้เหตุปัจจัย
การจะเปลี่ยนแปลงโลก สังคม แม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงใครคนหนึ่งยากมากนะครับ จนบางครั้งก็เป็นไปไม่ได้เลย
เราทำได้เพียงเปลี่ยนแปลงตนเองนะครับ และการเปลี่ยนแปลงตนเองนี้ ต้องใช้ความวิริยะ
หรือความเพียร ที่มีรากศํพท์มาจาก วีร(ะ) นั่นก็คือความกล้าอย่างสูงที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนครับ
จงกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำตัวเป็นคนใหม่ จงกล้าที่จะทำความดีต่อไปนะครับพี่คงไม่อาจกล่าวได้ว่าการที่พี่มาสอนอย่างนี้ มาเสียเวลานั่งพิมพ์ยืดยาวว่าพี่เป็นคนดีหรอกนะครับ
แต่สิ่งที่พี่ทำเป็นตัวอย่างก็คือ การคิดเพียง "หวัง" ให้น้องดีขึ้น ซึ่งสุดแท้แต่เราจะนำไปใช้
และความหวังของพี่จะไม่สูญเปล่าเลยที่ทำให้ในใจของน้อง แม้เพียงเศษเสี้ยวแห่งหัวใจมีความหวังขึ้นมา
นั่นคือสิ่งที่พี่ทำได้ดีที่สุดแล้ว ขอให้โชคดีนะครับ ^^