: ไปเจอมา ไม่รู้มีใครเคยเอาลงหรือยังครับ : ครูปอนด์ January 28, 2009, 01:23:26 AM จาก ไทยโพสต์
สาระน่ารู้ .. 9 กันยายน 2550 กองบรรณาธิการ สิ่งที่เห็นจนชินตาในโรงเรียนกวดวิชา คือโฉมหน้าเด็กเก่งที่มีรายชื่อติดบอร์ดเมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง โดยติวเตอร์แห่งนั้นหยิบฉวยว่านี่คือผลสัมฤทธิ์ที่เด็กเหล่านั้นได้จากการ กวดวิชา แต่เรากลับไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้จากบอร์ดของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ 'ครูสมศรี'..ไม่มีใบหน้าของเด็กจีเนียส ไม่มีคะแนนท็อปของมหาวิทยาลัย จะมีก็แต่ตัวการ์ตูนล้อใบหน้าของคุณครู สมศรี ธรรมสารโสภณ จากฝีมือลูกศิษย์นั่นเอง "มาร์เก็ตติ้งสูงสุดมันจบที่ความดี โบรโชว์โดนน้ำมันก็ยุ่ย แต่ความดีมันจะยั่งยืน" ความดีที่ว่านี้ยังรวมถึงการเดินสายไปสอนภาษาอังกฤษให้กับโรงเรียนมัธยมหลาย แห่งโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ครูสมศรีกลับบอกว่าไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งพิเศษแต่อย่างใด "เราก็ทำอย่างนี้มา ไม่ได้คิดว่าเป็นความดีอะไร เพียงแต่เป็นความแตกต่างจากคนอื่น ซึ่งครูมองว่าสมัยนี้ใครทำอะไรที่ดีเพียงนิดหน่อยก็ได้รับการยกย่องแล้ว เพราะคนมักไม่ทำกัน ความจริงสมัยนี้ทำความดีง่ายนะ ขณะที่ครูสมัยก่อนทุ่มเทกว่านี้มหาศาล" ย้อนไปเมื่อ 24 ปีก่อน นิสิตอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เริ่มต้นชีวิตคุณครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนอัสสัมชัญ และรับสอนพิเศษเด็กกลุ่มเล็กๆ 4-5 คน ด้วยเทคนิคที่ไม่เหมือนใคร "เอาประสบการณ์จากการใกล้ชิดเด็กๆ หลายปี พบว่าถ้าครูกระตุ้นก็จะได้แค่ในห้องเรียน แต่ถ้ามีอะไรที่เป็นสิ่งกระตุ้นเด็กอยู่เสมอเขาก็จะขยันไปตลอด ครูเลยเอาเรื่องพระคุณของแม่เข้าไปแทรกในการสอน เพราะแม่คือคนที่เขาต้องนึกถึงตลอดเวลา" ครูสมศรีเล่า จากนั้นไม่นานเปลี่ยนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่อัสสัมชัญ ธรรมศาสตร์ และจุฬาฯ แต่เริ่มพบว่าไม่มีความสุข เพราะเด็กมหาวิทยาลัยมีเส้นทางของเขาแล้ว แล้วจู่ๆ วันหนึ่งครูสมศรีก็ค้นพบเส้นทางของตัวเองเช่นกัน เมื่อได้รับโทรศัพท์จากเด็กคนหนึ่งในโรงเรียนสอนคนตาบอดที่โทร.มาถามว่าภาษา อังกฤษเรียนยากไหม ครูสมศรีจึงตัดสินใจลาออกจากจุฬาฯ ไปเป็นอาสาสมัครสอนโรงเรียนคนตาบอด "ครูกับอาจารย์ไม่เหมือนกัน เรามาสอนเด็กๆ เหล่านี้เรามีความสุขมาก เลยหยุดชีวิตอาจารย์มหาวิทยาลัยกลับมาเป็นครูสอนพิเศษเด็กที่เซนต์คาเบรียล ด้วย" เส้นทางความเป็นครูสมศรียังพลิกผันไม่หยุด ให้ต้องไปเป็นครูอาสาสอนบนดอย โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 30 จ.เชียงใหม่ เป็นการสอนภาษาอังกฤษตามอัธยาศัยว่าเด็กอยากจะรู้อะไร ที่นี่สอนให้ครูรู้ว่าการประชาสงเคราะห์ต้องให้ในสิ่งที่สอดคล้องกับชีวิต ของพวกเขา เมื่อกลับมากรุงเทพฯ อีกครั้งก็ไปเป็นครูอนุบาลที่โรงเรียนละอออุทิศ เพราะคิดว่าเด็กก็เหมือนต้นไม้ ครูเป็นเสมือนไม้ค้ำ หากเขารักสิ่งใดเราสามารถเอาความรักนี้ดึงเขาไปทางไหนก็ได้ "คือมีความรู้สึกว่าคนที่เก่งที่สุดไม่ใช่เราหรอก เราเป็นแค่ติวเตอร์ เราแค่มาต่อยอด แต่กว่าเด็กจะมาเป็นฐานพีระมิดก็คือคุณครู ถ้าเก่งจริงเราต้องไปสอนอนุบาล" แม้วันนี้จะไม่ได้เป็นครูอนุบาลแล้ว แต่ชีวิตครูสมศรียังเป็นเสมือนไม้ค้ำต้นไม้เสมอ ครูสมศรีบอกว่า การได้สอนเด็กตาบอดทำให้ค้นพบความมหัศจรรย์ที่นำมาเป็นเทคนิคการสอนใน ปัจจุบัน นั่นก็คือให้เด็กๆ ใช้จินตนาการในการเรียนภาษา ขณะที่ครูเองก็ใช้จินตนาการทำให้ห้องเรียนมีชีวิตชีวาได้เช่นกัน ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เป็นฐานพีระมิดให้กับครูสมศรีได้ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ที่แม้จะไม่มีความรู้ แต่กลับเป็นนักปราชญ์ที่สอนไม่ให้ยึดเราติดกับหัวโขน ทำให้ครูสมศรีได้ทำในสิ่งที่รัก แม้จะค้านกับสายตาคนรอบข้าง "ตอนเราไปสอนเด็กตาบอด คนก็หาว่าเราโง่ที่ลาออกจากจุฬาฯ แต่พ่อแม่สนับสนุน ท่านบอกว่าชีวิตไม่ยาว เพราะฉะนั้นก็เดินไปในสิ่งที่เรารัก" นี่ต่างหากคือสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียนหรือโรงเรียนกวดวิชาไหนๆ ก็ไม่สามารถให้ได้. http://www.thaipost.net/index.asp?bk=tabloid&post_date=9/Sep/2550&news_id=147906&cat_id=220400 : Re: ไปเจอมา ไม่รู้มีใครเคยเอาลงหรือยังครับ : EFFIE January 28, 2009, 09:16:37 AM เคยเห็นแล้วครับ แต่จำไม่ได้ว่าใครเอามาลง
: Re: ไปเจอมา ไม่รู้มีใครเคยเอาลงหรือยังครับ : coffeeprince January 28, 2009, 01:03:30 PM เหมือนจะเคยอ่านนะค่ะ
แต่ก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเคยเห็นที่ไหน |