Kru Somsri's English School

July 07, 2025, 05:56:35 AM

:    
191147 46430 16626
: AgronasImarm
*
+  Kru Somsri's English School
|-+  ห้องสนทนาของโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษคุณครูสมศรี
| |-+  คุยกับคุณครูสมศรี
| | |-+  ( สอบถามเรื่องทุน AFS )
:
:
:
:
||||
||||
+




: November 08, 2008, 05:01:41 AM
: RoyArtelo
Do you think that Obama is going to win because the Republicans have such a bad candidate?
Why did John McCain make his final argument against Obama... coal?
That's his closing argument? William Ayers, Rev. Wright, spreading the wealth, Born Alive, meeting dictators without preconditions, etc. all have to take a back seat so that McCain can go to Colorado and New Mexico to talk about coal? Does this more or less explain why he's going to get his clock cleaned Tuesday?
: June 27, 2008, 09:08:32 PM
: Fatal Frame
กรุณา ให้เครดิตหน่อยนะครับ  ได้ข่าวว่า คุณก๊อปมาจาก เว็บ mugglethai

ถึงอย่างไรก็ช่วยให้เครดิต นิดนึงก็ยังดี อย่ามาแอบอ้างเป็นคำแนะนำของคุณ

เอิ่ม ข้างล่างครับ

[/quote]
ป.ล.ก้อปมาจากwebอื่นนะ

เขาบอกว่า ก๊อปมาจากเว็บอื่น แต่ไม่ได้ระบุเจาะจง

บางที คนใน Mugglethai อาจจะไปโพสที่อื่นแล้วคนนี้มาเห็นก็ได้นิ

:
ได้ข่าวว่า คุณก๊อปมาจาก เว็บ mugglethai

เอ่อ รู้ได้ไงครับ เพื่อนกันหรอ

ผิดพลาดประการใดขออภัย
: June 27, 2008, 09:02:58 PM
: kolomoya
กรุณา ให้เครดิตหน่อยนะครับ  ได้ข่าวว่า คุณก๊อปมาจาก เว็บ mugglethai

ถึงอย่างไรก็ช่วยให้เครดิต นิดนึงก็ยังดี อย่ามาแอบอ้างเป็นคำแนะนำของคุณ
: April 02, 2008, 09:36:27 PM
: หนึ่งในสาวกครูสมศรี
ต่อจากข้างบนคับ

1 เดือนผ่านไป...... . . . . . . .

ก็จะประกาศรายชื่อ ผู้ที่ติด AFS ครับ อย่าลืมว่า ใน 1 สนามสอบ จาก 700 จะเหลือ 100 แต่ใน 100 นั้น หมายถึง “ตัวจริง” ซึ่งหมายถึง คุณน่ะ ได้ไปแน่นอน ชัวร์ 100% แล้วประเทศที่คุณได้ไป คือคือ ใน 3 อันดับที่คุณเลือกน่ะแหละ

แต่ยังมี อีก 200 คนที่มีสถานะเป็น “ตัวสำรอง” ซึ่งหมายถึง คะแนนคุณ ก็ผ่าน แต่คุณ ยังไม่มีประเทศที่จะไป ซึ่งยังไงสถานะของคุณ ก็คือ ติดโครงการ AFS เช่นกัน แต่ยังไม่มีประเทศไป ซึ่งภายหลัง เขาจะโทรมาบอกประเทศที่คุณมีสิทธิ์เลือกครับ

จะบอกว่า พวกตัวสำรอง มีสิทธิ์เลือกมากกว่า ตัวจริงด้วยซ้ำ บางคนมีตัวเลือกมาเป็น สิบๆเลย มานั่งเลือกไปสบายใจ ในขณะที่ตัวจริง ถูกจับยัดลง ใน 3 อันดับที่เลือก โดยที่ เปลี่ยนไม่ได้-*-

ดังนั้น หากเพื่อนๆ ได้ตัวสำรอง อย่าพึ่งเป็นห่วง เขาจัดการให้แน่นอนครับ^^

ส่วนเพื่อนๆที่ไม่ติด ปีหน้า ลองใหม่นะครับ เรามาถึงสอบสัมภาษณ์แล้ว คงได้อะไรไปเยอะล่ะครับ




ทีนี้ เรามาดูในส่วนของคนที่ติด ยังไงตอนนี้พวกคุณ ก็ได้ก้าวเข้ามาสู่โอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆแล้ว คุณจะได้เดินทางไปอยู่ในต่างประเทศ เกือบ 1 ปี ไม่ใช่อะไรที่หาง่ายๆ นอกจาก ควักเงินเป็นล้านๆ ไปอยู่เอง รอบนี้เป็นโอกาสนะครับ^^ คุณยังมีโอกาสที่จะสละสิทธิ์ แล้วตัวสำรอง ก็จะเข้ามาแทนที่คุณครับ หรือคุณ จะตกลง เป็น เยาวชน AFS แล้วก้าวไปสู่ขั้นต่อไป

สำหรับตัวสำรอง คุณ ก็จะรอคนที่สละสิทธิ์ แล้วเข้าไปแทนที่นั่นเอง หรือ AFS จะจัดหาประเทศหลากหลายมาเป็นตัวเลือกให้คุณได้ในที่สุด ทุกๆปี ตัวสำรองส่วนใหญ่ จะได้ไปกันหมดเช่นกันครับ

ดังนั้น ถือซะว่า ตัวสำรอง อาจจะมีการดำเนินการหาประเทศช้ากว่านิดนึง นอกนั้น คุณ ก็จะมาเป็น เยาวชน AFS เช่นกันครับ

ทีนี้ จะเล่ารวบ 2 พวกเลยนะครับ พอคุณมีประเทศแล้วพวกตัวจริง จะได้ประเทศตั้งแต่เริ่มเลย)
ก็จะมี เอกสาร ปึกยักษ์ใหญ่ มากมายล้นหลามเป็น สิบๆชุด จะรวมไปถึง ใบกรอกประวัติทั่วไป กรอกประวัติครอบครัว ฟอร์มสุขภาพ ใบอนุญาตจากโรงเรียน ใบระเบียนคะแนนหรือ Transcript ซึ่งต้องไปทำเรื่องขอจากโรงเรียน รวมแล้ว การเตรียมเอกสารเหล่านี้ ใช้เวลาเป็น เดือนๆครับ คุณต้องไปที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจสุขภาพเพื่อเอาใบรับรองจากแพทย์ ทั้งเรื่องวัคซีน และอะไรอีกมากมายต้องเขียนเรียงความแนะนำตนเอง เป็นภาษาอังกฤษ ต้องเขียนเรียงความแนะนำครอบครัว และผู้ปกครอง ก็ยังต้องเขียนเรียงความเกี่ยวกับลูก เป็นภาษาอังกฤษ ต้องทำอัลบั้มรูปขอตัวเอง 3 ชุด ต้องทำเรื่องกับอาจารย์ประจำชั้น มีใบรับรองของอาจารย์ประจำชั้น

สรุปแล้ว การเตรียมเอกสารนั้น ยุ่งยากมาก!!!!! คุณต้องประสานงานกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะไปถึง

สำนักงานเขต / กรมกงสุล / โรงพยาบาล / ห้องทะเบียนของโรงเรียน / ติดต่อ อาจารย์แนะแนว อาจารย์ประจำชั้น / เขียนเรียงความ ด้วยตนเอง เป็นภาษาอังกฤษ / ให้ผู้ปกครองขียนเรียงความ

เยอะมากครับ ยังไง เพื่อนพยายามเข้า ไหนๆมาถึงตรงนี้ แต่เรื่องเอกสาร จิ๊บจ๊อย! ใช้เวลาเดือนกว่า จัดการให้เสร็จนะครับ!

แล้วจะมีการปฐมนิเทศ ซึ่งเราจะไปส่งเอกสารทั้งหมดตอนนั้น

แล้วทุกอย่างจะหายเงียบเลยครับ และในช่วงเวลาเหล่านั้น จะมีการ จ่ายเงินครับ มี 3 งวด ยังไงติดตามดีๆ AFS จะส่งจดหมายมาเรื่อยๆครับว่า ถึงเวลาชำระเงิน ไม่ต้องห่วงครับ

คือว่า ประเทศที่ AFS จัดส่ง จะแบ่งเป็น 2 พวกคือ ภาคพื้นทวีปเหนือ และ ภาคพื้นทวีปใต้

พวกใต้ จะเดินทางในช่วงเดือน ธันวาคมไปจนถึงช่วงต้นไปครับ
แต่พวกเหนือ จะเดินทาง อีก 1 ปีให้หลังนู่นนนน AFS จะจัดการส่งพวกภาคพื้นทวีปใต้ไปก่อน ใครที่อยู่เหนือ ก็รอก่อนครับ หลังจาก AFS จัดส่งเยาวชน ภาคพื้นทวีปใต้เรียบร้อยแล้ว AFS จะหันมาทำงานเกี่ยวกับ ภาคพื้นทวีปเหนือทันที เราขอเล่าในมุมมของทวีปเหนือนะครับ แต่มันก็เหมือนกับใต้น่ะแหละ

สิ่งที่คุณจะได้รู้ตามมาคือ เรื่องของ Host family คุณจะรู้ว่า จะได้ไปที่ไหน เมืองอะไร แต่บางคน อาจจะรู้ช้า บางคนรู้ 2 อาทิตย์ก่อนเดินทาง บางคนรู้ก่อนเดินทางนานมาก อันนี้ อย่าไปกังวล ได้ไป คือได้ไป มาเตรียมตัวก่อนเดินทางดีกว่า

หลังจากเรากรอกเอกสาร ระลอกใหญ่ไปแล้ว และจ่ายค่าธรรมเนียม 3 งวดแล้ว จะมีเรื่องอย่างอื่น ตามมา ดังนี้ครับ

1. กรอกเอกสาร ระลอก 2 -*-
2. การปฐมนิเทศ(ส่งเอกสารชุดแรก)
3. การเข้าค่ายอบรม

เอกสารระลอก 2 นั้นทิ้งช่วงยาวพอสมควร เพราะจะส่งก่อนเข้าค่ายอบรมครับ เอกสารระลอก 2 จะง่ายกว่าชุดแรกเยอะเลยล่ะ เพราะ จะมีเรื่องของ ใบอนุญาตของโรงเรียน ใบอนุญาตของผู้ปกครอง ซึ่งทำเรื่องไม่นานครับ มีสำเนาพาสปอร์ต สูติบัตร ทะเบียนบ้าน เตรียมเอาไว้ แล้วก็จะมี ฟอร์มวีซ่า ซึ่งจะกรอกตอนเข้าค่าย

สรุปแล้ว เราก็พิมพ์ตามที่ เขามีฟอร์มให้น่ะแหละครับ เขาจะมีตัวอย่างให้หมด ทำตามนั้น เบๆ ><” ส่งให้ทันก็แล้วกัน ><

ต่อไป ที่สำคัญอย่างมาก คือ การ เข้าค่าย

การเข้าค่ายนั้น มันจะเกี่ยวกับการเอาตัวรอด เราจะได้เพื่อนใหม่มากมายครับผม การเข้าค่ายจะใช้เวลา 3 วัน โดยที่จะมีกิจกรรมต่างๆนาๆ ทั้งการเต้นแร้งเต้นกา การนั่งฟังรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์เล่าเรื่องที่น่ารู้ อะไรที่เราสงสัย ก็ถามรุ่นพี่ได้เลยครับ กิจกรรมจะเป็นแบบไหน อันนี้ไม่เล่าดีกว่า เดี๋ยวไม่สนุก แต่จะบอกว่า ยังไง ขอให้เพื่อนกล้าเอาไว้ก่อนละกันนะครับ ทุกคนที่ผ่านเข้ามาถึงตรงนี้ ต้องมีอะไรดีครับ ไม่งั้น เราไม่มาถึงตรงนี้หรอก ยังไง กล้าที่จะทำความรู้จักกับเพื่อนเอาไว้นะ^^ เพื่อนมีเป็นร้อยๆ และที่สำคัญทุกคน เป็นคนกล้าครับ เรารับประกัน ทุกคนที่มาถึงตรงนั้น คือคนที่กล้าแสดงออก กล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ(ลองนึกไปตรงที่เราบอกตรงสอบสัมภาษณ์สิครับ) สรุปแล้ว เราว่าทุกคนที่ไปถึงตรงนั้น ย่อมกล้าที่จะคุยกัน เวลา 3 วันมันน้อยมาก แต่หากคุณใช้มันให้คุ้ม คุณจะได้เพื่อนไปอีกมาก และยังได้ความรู้ ความรู้สึกดีๆ และการเตรียมตัว ก่อนเดินทาง ไปประเทศที่คุณต้องการครับ

การเตรียมตัวเดินทาง(เล็กน้อย)

สิ่งที่เพื่อนๆต้องเตรียมยัดลงกระเป๋านั้น จะต้องใช้ไปอีกเกือบปี กับของในกระเป๋าใบนั้นใบเดียว หากประเทศที่คุณไปเป็นเมืองหนาว ก็เตรียมเสื้อผ้าที่มันเหมาะสมไป บางคนใช้วิธี เตรียมไปเท่าที่จำเป็น แล้วไปหาซื้อเอาที่นั่นครับ

เรื่องเงิน บางคนใช้ฝากเงินเข้าบัญชี แล้วไปเปิดเอาที่นั่น
หรือบางคน ก็จะพกบัตรเครดิต ไปรูดๆเอาที่นั่น แต่ถ้าจะเอาเงินสดไปทั้งดุ้นเลย ระวังให้ดีๆนะครับ - - ไม่แนะนำวิธีนั้น-*-

ของฝาก อันนี้ก็ต้องเตรียมไป ไม่ต้องหรูหรามาก แต่เอาไปฝาก เพื่อเป็นพิธี รักษาน้ำใจคนไทย^^ อาจจะมีของที่ใหญ่ๆหน่อย ให้กับ Host Family ของเรา และของเล็กๆน้อยๆให้เพื่อน เช่น พวกกุญแจ ที่คั่นหนังสือ แต่อย่าลืม ต้องเป็นของไทยๆนะครับ และอย่าให้พร่ำเพรื่อ เราต้องรู้จักเพื่อนคนนั้นก่อน แล้วค่อยให้ เพราะถ้าอยู่ๆเราให้ไป ใครก็ไม่รู้ เขาอาจจะโยนทิ้งก็ได้

การแสดง อันนี้ ไม่มีใครรับประกันว่าจะได้แสดงหรือไม่ บางคนอาจจะหาโอกาสได้ บางคนก็ไม่มีโอกาส อย่างน้อย เตรียมๆไว้เผื่อๆก็ได้ครับ อย่างเช่น รำวง รำมวยไทย เรียนไว้เล็กๆน้อยๆก็ได้ครับ อาจจะไม่ได้ใช้ แต่เผื่อๆไว้
การลาพักการเรียน – อันนี้ขาดไม่ได้เลย-*- เขาจะมี 2 ทางเลือกครับ คือ

-กลับมา จะซ้ำชั้น เรียนกับรุ่นน้อง
-กลับมา ก็กลับไปเรียนกับเพื่อนตามเดิม ไม่ต้องซ้ำชั้น แต่ต้องตามเก็บของชั้นที่เราโหว่ไปให้ทัน

ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละคน สำหรับเรา เราเลือกซ้ำชั้น เพราะผู้ชาย อาจจะลำบากหน่อย เพราะมี รด. เข้ามาเกี่ยว หากเราไม่ซ้ำชั้น ก็หมายความว่า พอเราเข้ามหาวิทยาลัย เราก็ต้องเรียน รด. อีกปี ซึ่งยุ่งยากมาก แต่ปีที่เราไป AFS ทาง AFS จะทำการ drop รด. ปีนั้นของเราให้ เรียบร้อย ไม่ต้องห่วง

และขอย้อนกลับไปตอนสมัครว่า หากคุณสมัครตอน ม.3 จะได้ไป ตอน ม.4
หากคุณสมัคร ตอน ม.4 จะได้ไปตอน ม.5
หากสมัครตอน ม.5 จะได้ไปตอน ม.6
แต่ไม่มีสมัครตอน ม.6 แล้วไปตอนมหาวิทยาลัยนะครับ

ใครที่จะไปตอน ม.6 ก็ต้องคิดดีๆก่อนนะครับ ไปน่ะไปได้ แต่ยังไง กลับมา อย่าลืม เก็บความรู้ให้ทัน เพราะคุณก็จะต้องเจอกับสนามสอบเข้ามหาวิทยาลัย และที่สำคัญเลย ตอนนี้เป็น ระบบแอดมิชชั่นด้วย ต้องขยันมากๆครับ

และก่อนที่จะเดินทาง จะมีการเรียกประชุมกันอีกครั้ง เพื่อสรุปทุกอย่างก่อนไป ทั้งการขนของ การแลกค่าเงิน และทุกๆอย่างครับ และเมื่อออกเดินทางไปถึงประเทศนั้นแล้ว จะมีการเข้าค่ายอบรมก่อนที่จะแยกย้ายไปยัง Host Family ของคุณ

การปรับตัวเริ่มแรก..

เมื่อเราไปถึง หรือก่อนเดินทาง เราต้องนึกแล้วว่า เราต้องจากบ้าน จากคุณพ่อคุณแม่มาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว อาจจะเป็นซักแห่งในโลก คุณจะต้องปรับตัวเข้ากับที่นั่นให้ได้ ทั้งเรื่องของสภาพอากาศ เรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมต่างชาติ ไม่ว่าจะภาษา การเข้าเรียน การปรับเข้ากับเพื่อนๆ เราต้องมีเพื่อนครับ

แต่ไม่ใช่ว่า หากเราไปเจอเพื่อนคนไทยด้วยกัน ซึ่งโอกาสมันมีได้ครับ แนะนำเลยว่า อย่าติดกันตลอด ไม่ใช่ว่า เจอเพื่อนคนไทยด้วยกัน ชั้นจะอยู่กับคนนี้ เราช่วยเหลือกัน ... มันไม่ใช่ครับ ถ้าเราอยู่ด้วยกันแบบนั้น มันจะไม่ได้อะไรเลย เราต้องลุยสิครับ หาเพื่อนต่างชาติต่างหาก เพื่อนคนไทยด้วยกัน คุยเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้เรามาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ยังไง ลองเข้าสังคมใหม่ๆจะดีกว่าครับ อย่ามัวพึ่งแต่เพื่อนคนไทย และอย่าคุยโทรศัพท์นานเกิน ไม่ว่าจะคุยกับ คุณพ่อ คุณแม่ เขาแนะมาว่า เดือนละครั้ง 2 ครั้ง ก็ พอแล้ว หากคุยมากกว่านั้น เราอาจจะปรับตัวไม่ได้ครับ แล้วอย่าลืม ค่าโทรศัพท์ของ Host Family - -'

ทางที่ดีที่สุดในการมีเพื่อนคือ ทำกิจกรรม หากเราได้ทำกิจกรรมที่เราชอบ เช่น การเล่นกีฬา ชมรมนั้น ชมรมนี้ แล้วได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบ และเพื่อนๆคนอื่นก็ชอบ ยังไง เราก็ย่อมจะได้เพื่อนแน่นอน และอย่าลืม เรา ต้องปรับตัวเข้าหาเขา ไม่ใช่ให้เขา ปรับตัวเข้าหาเรา และเราก็ต้องช่างคุยหน่อยนะครับ อย่าหมกตัวอยู่ในห้อง MSN อะไรนี่ ต้องตัดทิ้งไปเลย(จากคำแนะนำของพี่ๆ) เพราะถ้าเรามัวหมกอยู่กับตัวเอง ก็อาจจะทำให้ไม่ได้อะไรเท่าไหร่น่ะครับ เราก็สามารถช่วย Host ทำงานบ้านก็ได้ ช่วยทำอาหาร ยังไง ก็พยายามเข้าไปคุย และ ต้องเป็นคนที่มีวินัยในตนเอง ตรงต่อเวลา และห้ามพูดโกหก หัดเป็นคนซื่อสัตย์เอาไว้ หากชาวต่างชาติจับเราเรื่องโกหกได้ เรื่องใหญ่นะจะบอกให้ อาจจะถึงขั้น เลิกเชื่อถือ หากมีอะไร เราพูดตามตรงครับ ผิดคือผิดครับ ยิ่งถ้าชาวต่างชาติ คือ ฝรั่ง ยิ่งง่าย เพราะ ฝรั่งนั้น โกรธง่ายหายเร็ว และพูดตรงมาก คนไทยนี่พูดอ้อมเป็นยากันยุงเลยครับ-*-

ยังไง เราก็ยังมีคุณพ่อคุณแม่คอยให้กำลังใจครับ เรามาถึงจุดนี้ พ่อแม่ของคุณ ต้องภูมิใจแน่นอนครับ ดังนั้น อย่าทำให้ท่านผิดหวังนะ^^



แล้วก็เริ่มต้นการดำรงชีวิตของคุณ ในสภาพสังคมที่แปลกใหม่ ที่จะเปลี่ยนให้คุณได้เรียนรู้อะไรอีกมาก และกลายเป็นคนที่มีคุณภาพมากขึ้น แล้วเมื่อกลับมาที่ไทยอีกครั้ง คุณคงจะเป็นคนใหม่ ที่เปี่ยมไปด้วยความคิดต่างๆนาๆ



แล้วคำแนะนำของเรา ก็หมดลงเพียงเท่านี้ครับ หากเพื่อนคนไหนที่สนใจ ก็อย่าลังเล ไปสมัครได้ เราจะเป็นกำลังใจให้ และขอให้โชคดีกับการสอบ AFS เราเขียนแนะนำมายาวเหยียดนี่ก็เพราะว่า อยากให้ทุกๆคนไปสอบจริงๆ อยากให้ทุกๆคน ได้มีโอกาส ได้พัฒนาตนเอง ได้ลองกับสิ่งใหม่ๆ ไม่รักจริง ก็คงไม่เขียนซะยาวเหยียดหรอกนะครับ ยังไง ก็ขอให้โชคดีก็แล้วกันครับ

สวัสดีครับ
: April 02, 2008, 09:35:42 PM
: หนึ่งในสาวกครูสมศรี
เพิ่มคับ

Q : สภาพห้องสอบ?
A : สภาพในห้องสอบนั้น จะมี โต๊ะ 2-3 ตัววางเรียงกันมีอาจารย์ 2-4 ท่านนั่งอยู่ และอีกฝั่ง คือ เก้าอี้ ให้เรานั่ง เราคนเดียว ต่ออาจารย์ อีก 2-4 คน อาจารย์ จะถามเราทีละคน แต่จะมี 1 คน ที่คอยจดบันทึก อาจารย์บางท่าน อาจจะ เป็นมิตร บางท่าน ถามด้วยหน้าตาเคร่งเครียด คนแบบนี้มีทุกประเภท ที่เราควรคำคือ ยังไง เราก็เป็นมิตรไว้ก่อนดีกว่า เราอย่าไปกลัวเขาละกัน หน้าที่ของเราคือ ทำตรงนั้นให้ดีที่สุด ใครจะถาม ก็ช่างเขา แต่ เราเป็นมิตรกับเขาไว้ และอย่าลืม ต้องมองตาด้วยเวลาพูด บางห้อง อาจจะถามโดยใช้ภาษาอังกฤษมากหน่อย บางห้องอาจจะถาม อังกฤษครึ่งนึง ไทยอีกครึ่งนึง บางห้องอาจจะถามเป็นภาษาไทยเยอะมากเป็นส่วนใหญ่ ยังไงตรงนี้ มันแล้วแต่ดวง อาสัยถามเพื่อนๆที่สอบก่อนหน้าเราก็ได้ ว่าอาจารย์ถามอะไร?

พอเราเข้าไป ทักทายแล้ว อาจารย์ อาจจะถามเรานิดหน่อย เป็นยังไงบ้าง ก่อนที่จะเข้าเรื่อง
สิ่งที่อาจารย์บางท่านจะให้เราทำเลยคือ ให้เราแนะนำตัวเองก่อน บางคนอาจจะต้องโดนเป็นภาษาไทย บางห้องเป็นภาษาอังกฤษ หรือบางห้อง อาจารย์ จะศึกษาประวัติเรามาว่าเราสนใจประเทศไหน บางคน ลงว่าอยากไป ประเทศจีน เขาอาจจะใช้จุดนี้ถามเลยว่า ลองพูดเป็นภาษาจีนได้ไหม??? จุดนี้ น่าจะเป็นหน้าที่ของเพื่อนๆเลยที่จะไปนึกหัวข้อว่า หากเราแนะนำตัว น่าจะพูดเรื่องไหน? ที่สำคัญเลยคือ ชื่อ นามสกุล ชื่อเล่น อายุ เรียนชั้นอะไร? โรงเรียนไหน ชอบทำอะไรในเวลาว่าง และอย่าลืมปิดท้าย ยินดีที่ได้รู้จัก / It’s nice to meet you. เป็นมารยาท อย่าลืม

บางท่านอาจจะให้เรายืนขึ้น และแนะนำตัว เราก็ยืนนิ่งๆละกัน ไม่ใช่เอนไปเอนมา อยู่ไม่สุข พอพูดจบก็ยิ้มนิดๆ แล้วก็กลับมานั่ง ไม่ต้องเชื่อที่เราบอกก็ได้ แต่ทำยังไง ที่จะทำให้อาจารย์มองว่า มันเป็นตัวตอนของเรา หรือว่า จะมองว่า เรา กระตือรือร้น และอย่างที่เราบอกคือ กระฉับกระเฉงไว้ เพื่อที่จะได้กันไม่ให้อาจารย์หาช่วงที่จะเห็นจุดอ่อนเรา หลายคนที่จะเผยจุดอ่อนเพราะความลังเล เราก็อย่าลังเลสิ หากเราลังเลจริงๆ ก็พยายามขยับเก้าอี้ตามที่เราบอก หรือจะวิธีอื่นก็ได้ มันก็เพื่อทำให้เราดู Active จะไปกลบๆจุดอ่อนของเรา ความลังเลของเรานั่นเอง

Q : แล้วเขาถามอะไรบ้าง?
A : แต่ละคน ก็ถามไม่เหมือนกันหรอกนะ แต่AFS คือ การที่เราไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการอยู่รอดในสังคม ดังนั้น คำถาม จึงย่อมออกมาในแนวของเรื่องของวัฒนธรรม การถามคำถามเชิงไหวพริบ หรือถามว่าเราจะเผยแพร่วัฒนธรรมของเราอย่างไร? อาจจะมีการยกตัวอย่างเหตุการณ์อย่างหนึ่งมา แล้วถามว่า เราจะทำอย่างไร?

และคำถามที่น่าจะจำไว้เลยคือ ทำไมถึงเลือกประเทศนี้? ทุกอย่าง มันต้องมีเหตุผล เราเลือกประเทศนี้ มันก็ต้องมีเหตุ ที่ทำให้เราเลือกประเทศนั้นๆ คิดไว้เลย เพราะเกือบทุกห้อง จะถามคำถามนี้ ขอแนะว่า อย่าย้ำเรื่องความสวยงามของประเทศมากนัก เราพูดได้ว่า เราเลือกไปประเทศนี้เพราะมีทิวทัศน์สวยงาม แต่เราก็ต้องมีเหตุผลอื่นมาประกอบด้วย เพราอย่าลืมว่า เราไม่ได้มาเที่ยว นี่ไม่ใช่โครงการเที่ยว เราควรจะหาเหตุผลอื่นมาประกอบด้วย อย่างเช่น....ผู้คนประเทศนั้น น่าจะเป็นมิตร...ประเทศนั้นมีสถาปัตยกรรมสวยงาม หรือมีประวัติศาสตร์น่าสนใจ มีความเจริญทางวัฒนธรรม มีกฎระเบียบที่แน่นอน บ้านเมืองสงบสุข หรือ เราอาจจะสนใจสังคม วัฒนธรรมของประเทศนั้น เลยเลือกที่จะไปประเทศนี้ คิดไว้เลยละกัน เพราะเราว่าเขาถามแน่ๆ เขาจะถามไล่ๆเลย ทั้ง 3 อันดับที่เราเลือก ไล่ทีละประเทศ เราก็ต้องตอบให้ได้ทั้ง 3 ประเทศครับ

จะใช้เวลาตรงส่วนคำถามนี้ค่อนข้างนานนะ แล้วเขาก็จะถามต่อไปในคำถามอื่นๆ จะยกตัวอย่างให้ละกัน

-เมื่อคุณไปถึงที่นั่น คุณมีวิธีเผยแพร่วัฒนธรรมไทยอย่างไร?

หากจะให้เราแนะนำคำถามนี้ ที่สำคัญเลยคือ การสวัสดี เราก็ตอบว่า เราจะสอนให้เขารู้จักกับการสวัสดี การทักทายของไทย หรือ เราอาจจะสอนเขาให้รู้จักกับการละเล่นง่ายๆของไทย หรือแม้แต่ทำอาหารไทยให้ทาน เช่นไข่เจียว

หากจะสอดมุขอะไรเข้าไปหน่อยก็ดีนะครับ อย่าปล่อยให้การสัมภาษณ์เป็นเรื่องเครียด ผู้สัมภาษณ์อยากเห็นเราอารมณ์ดีแน่นอนครับ

-หากคุณไปงานปาร์ตี้ของเพื่อนๆชาวต่างชาติ แล้วเขาสูบบุหรี่ คุณไม่ชอบเลย จะบอกเขาว่าอะไร?

ต้องคิดแล้ว อันนี้เป็นคำถามวัดไหวพริบนะครับ หากเราไปเจอเหตุการณ์นี้จริงๆ มันก็น่าคิดว่า จะทำยังไง พูดยังไงให้อีกฝ่าย ไม่โกรธ มันต้องมีวิธี เราก็ควรจะพูดแบบมีเหตุมีผล และหนักแน่น เราตอบว่า อย่าสูบได้ไหม มันทำให้เราเวียนหัว

อาจารย์ถามต่อ ว่าหากเขาไม่หยุด จะทำอย่างไร? เราก็ตอบแบบจริงๆจังๆเลยว่า ถ้าไม่หยุด ก็ต้องออกห่างเลย เพราะมันก็เป็นอันตรายกับเราเอง

เวลาตอบ อย่าพูดอ้อม พูดตรงๆเลยก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสม

-คุณจะมีของฝากอะไรไปให้ Host Family?

อันนี้เพื่อนเราเจอ ข้อนี้ ขอแนะว่า เวลาตอบ อย่าตอบในแนวของความฟุ่มเฟือยว่า จะให้ยังงั้นยังงี้ หัวใจคือ เราควรจะให้ของที่สื่อวัฒนธรรมของเราให้ได้ดีที่สุดตังหากล่ะ อาจจะบอกว่า เป็นพวกกุญแจ หนังสือเที่ยวไทย หรือภาษาไทยเบื้องต้น ลูกตะกร้อ ผ้าไทยเล็กๆน้อยๆ อย่าลืมเหตุผล อาจจะบอกว่า เป็นของไทยที่สวยงาม และน่าจะสื่อความเป็นไทยได้ดี จะตอบว่าเอาของ OTOP ไปก็ได้-*- เราว่าอาจารย์เขาจะขำนะ ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่อย่าลืมเหตุผลละกันว่า ทำไมถึงเลือกสินค้า OTOP ไป^^


และจะมีคำถามที่แปลกมากๆ ที่เพื่อนร่วมห้องสอบเราเจอ คือ

“หากมีคนมาขอร่วม sex กับคุณ จะทำอย่างไร?”

อันนี้ ไม่ใช่เรื่องทะลึ่ง หากมัวแต่คิดเลยเถิด “เฮ้ย นี่ถามไรวะ?” นั่นคือการเผยจุดอ่อนเลยนะ หากเขาถาม เราก็มีหน้าที่ต้องตอบ อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก หรือทะลึ่ง หาคำตอบที่เหมาะสมมาตอบก็แล้วกัน เราไม่ได้เจอคำถามนี้ แต่หากเราเจอ เราก็คงไม่มัวมานั่งตกใจคำถามนี้หรอกนะ มีสมาธิไว้ครับ


คำถามที่เราเล่านี้ ครึ่งนึงของทั้งหมด ถามเป็น ภาษาอังกฤษนะ ^^” เราไม่ต้องเลือกคำยากๆมาหรอก คำง่ายๆก็สามารถใช้ได้ เวลาสอบสัมภาษณ์ เขาไม่ได้ดูว่า เราใช้คำศัพท์สวยหรูเลย เขากลับมองว่า เราจะสื่อยังไง? จะพูดออกมายังไง? สื่อสารพอเข้าใจหรือเปล่า? บุคลิกดีหรือเปล่า ตังหาก


และอย่าลืมกระดาษที่เราเขียนตอนแรก เขาก็เอามาถามจริงๆครับ อย่างคำถามที่เราเจอคือ ฮีโร่ของคุณ คือใคร?

อย่างเรา ตอบว่า Steven Spielberg ตรงจุดนี้ อย่าลืมว่า อาจารย์ท่านอ่านมาหมดเลย เขารู้ว่าเราตอบอะไร เขารู้ว่าเราเขียนอะไร เขาพร้อมที่จะถามเลยว่า ทำไมถึงชอบ? ทำไมถึงคิดว่าเขาคนนี้เป็นฮีโร่? คุณก็ต้องตอบด้วยความเห็นของคุณเลย

และข้อสำคัญ คือ พยายามดันๆให้อาจารย์ถามถึงเรื่องที่เราถนัด อย่างเมื่อมาถึง Steven Spielberg แล้ว ก็ดันๆไปเรื่องหนังสิ ชวนเขาคุยเรื่องหนัง อะไรก็ได้ที่ทำให้เราคุยได้เต็มที่ครับ

อย่างเพื่อนๆที่อยู่บอร์ดนี้ เราก็มีอะไรเหมือนกันอย่างนึงคือ เราชอบ Harry Potter เหมือนกัน! ทำไมไม่เอาจุดที่เราชอบ มาเป็นจุดที่ทำให้เราได้เปรียบเวลาสัมภาษณ์ล่ะ ใช้จุดนี้สิครับ เวลาสอบ เอามันเข้าไปเลย หนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ เอาไปซักเล่มนึง จะทำเป็นว่าตอนนี้อ่านอยู่ เลยเอาติดมือไปก็ได้ แล้วเวลาพูด ก็หาทางวกมาเรื่องนี้สิครับ^^ อาจารย์เขามีตา เขาย่อมสังเกตว่า เราเอาอะไรเข้าไป เขาอาจจะถามเลยด้วยซ้ำว่า เอาอะไรเข้ามา แล้วเขาอาจจะชวนเราคุยเรื่องนี้ ก็ได้ครับ

หากเราเลือกไปประเทศอังกฤษอันดับแรก เหตุผลที่ชาว MT น่าจะตอบ คือ England is the home of Harry Potter. อะไรประมาณนี้ อาจจะหาคำที่มันดีกว่านี้ก็ได้ นี่ไง เราก็วกมาเรื่องนี้ได้แล้ว อาจารย์ เขาย่อมถามเราต่อว่า

Why do you like Harry Potter?
แค่นี้ ก็น่าจะคุยโม้ต่อได้นานเลยนะครับ เพราะเราเจอมาแล้ว

ขอนอกเรื่องนิดว่า ตอนนั้น เป็นวันที่ 17 กรกฎาคม 2005 เป็นวันหลังจาก The Half-Blood Prince วางขาย แค่วันเดียว เราไปไหน ก็จะเอาหนังสือไปด้วย เลยเอาจุดนี้แหละมาเป็นเรื่องคุย พอเราเข้าห้องสอบ ก็วางเล่ม 6 สีเขียว ดังปึ้ง!!! ลงที่โต๊ะเลย แล้วหาทางวกมาเรื่อง Harry potter ซึ่งก็ได้ผล เราก็คุยได้ดีทีเดียวในเรื่องที่เราชอบ

ผลจากการวกมาเรื่องนี้ ทำให้เราเจอคำถามเกี่ยวกับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ดังนี้ครับ

ทำไมถึงชอบ แฮร์รี่พอตเตอร์?
ระหว่างหนังกับหนังสือ คุณชอบอะไรมากกว่ากัน? ทำไม?
หากคุณจะเสกคาถา คาถาหนึ่งแก่ประเทศไทย คุณจะเลือกคาถาไหน

คำถามสุดท้ายออกจะแหวกแนวสักนิดนึง แต่ หากคุณตอบได้ดี ก็คงจะกินใจอาจารย์ได้เลย คิดดีๆ หากวกมาเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์แล้ว คุณก็น่าจะตอบได้ ไม่ว่าจะเจอคำถามรูปแบบไหนนะครับ

หากมีคำถามที่คุณไม่เข้าใจเวลาสัมภาษณ์ หรือคำถามนั้นเป็นภาอังกฤษ ซึ่งยังไม่เข้าใจ คุณควรที่จะถามอาจารย์

Excuse me could you repeat the question again?
อาจจะไม่ถูกหลักแกรมม่าหรอกนะครับ แต่หากเราถามแบบนี้ มันก็บอกว่า เรายังไม่เข้าใจคำถามนะ เราก็ถามไปตรงๆ ดีกว่ายังไม่เข้าใจคำถามแล้วยังดันๆตอบผิดตอบถูกไปทั้งๆที่ยังไม่เข้าใจคำถาม...คนไทยจะมีนิสัยคือ ขี้เกรงใจ ยังไง ถอนนิสัยนี้ออกไปก่อนตอนสอบสัมภาษณ์ละกัน หากสงสัย ถาม หากไม่เข้าใจ ถาม อาจารย์เขาจะเอ็นดูเราด้วยซ้ำ หากเราไม่เข้าใจ แล้วบอกตรงๆน่ะครับ เขาจะมองว่า เรา กล้าที่จะถามครับ

เมื่อจบการสัมภาษณ์ เขาก็จะสังเกตเราจนถึงก้าวสุดท้ายที่เราออกนอกประตูไป อย่าลืม กล่าวอำลา และ ขอบคุณ อาจารย์ จะเป็นภาษาไหน ก็แล้วแต่



แล้วก็จบการสัมภาษณ์ตัวต่อตัว ขอสรุป

- เป็นตัวของตัวเอง กล้าพูด
- กระฉับกระเฉง
- ปกปิดจุดอ่อนตัวเอง อย่าให้อาจารย์ มีโอกาสจับผิด หรือต้อนเราจน ตอบไม่ได้
- ยิ้มแย้มแจ่มใส
- ครับ/ค่ะ ขอบคุณ Thankyou Good Moring คำทักทาย –กล่าวอำลาให้ติดปากไว้
- อย่าเครียด สอดแทรกความสนุกสนานไว้
- เตรียมคอนเซปพูดไว้เผื่อก็ได้
- ไม่เข้าใจ ก็ ถาม
- หาอุปกรณ์ หรือ วกมาในเรื่องที่เราถนัด
- พยายามสื่อสารให้เข้าใจ
- อย่าลังเลนานเกิน อย่าตะกุกตะกัก และ เวลาพูด ต้องมองตา



กิจกรรมช่วงบ่าย

กิจกรรมช่วงบ่ายนะครับ จะเป็นการนันทนาการ มีการร้องเพลง มีการเต้น มีการทำกิจกรรม โดยที่มีอาจารย์ท่านเดิมที่สัมภาษณ์ คอยสังเกตการณ์เรา

ทางที่ดีคือ อย่าไปสนใจอาจารย์ ยังไง ก็สนุกกับมัน พี่ๆ AFS จะเป็นผู้ทำกิจกรรม หากเราเป็นคนไม่กล้าแสดงออก ก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกล้า จะไปสนอะไรล่ะครับ? อายทำไม? หากเขาจะให้เราทำอะไร เราก็ต้องทำ ไปอยู่ต่างประเทศ มีสิทธิ์เลือกงั้นหรือ?

สิ่งที่จะมีเยอะสุด คือการเต้นประกอบเพลง ประเภทไก่ย่างอะไรแบบนั้นน่ะ -*- เราก็เต้นไปเหอะ ไม่มีอะไรหรอก จะมีการเล่นละครด้วย เราก็ต้องเล่น

ถ้าเราแนะนำนะ ง่ายๆคือ เต็มที่ ครับ


แค่คำว่า เต็มที่ คงอธิบายได้หมด ทั้งการกล้าแสดงออก การให้ความร่วมมือกับกิจกรรม ความทุ่มเท
และก็อย่าลืมเพื่อนๆ ซึ่งก็เป็นชุดเดิมกับตอนเช้า ทำความรู้จักไว้ คุยๆกันไว้ เพราะมันสำคัญกับตอนบ่ายนั่นเอง^^ บางกิจกรรม อาจจะต้องใช้ความสามัคคี อย่างเช่น ช่วยกันต่อหอคอยที่ทำจากหนังสือพิมพ์ เป่ายิ้งฉุบรถไฟเอย หรืออาจจะมีการฝึกแก้ปัญหาอย่างเช่นปมมนุษย์-*- หรือเรียงประโยค อาจจะต้องมาการร้องเพลง มีการเต้น หรือทดสอบความจำเกี่ยวกับเรื่องของเพื่อน อาจจะต้องมีการแสดงละคร หากเรา เต็มที่ ผมก็คิดว่า เพื่อนๆทุกคน ทำได้ เต็มที่เลย เรามาสนุกครับ ลืมเรื่องตอนเช้า ลืมอาจารย์ที่กำลังสังเกตการณ์ เราเต็มที่ครับ เต็มที่~!!!! อย่าลืม เรื่องของเพื่อน อย่าปิดตัวเอง เปิดกว้างกับเพื่อนใหม่ ไม่มีใครชอบคนที่นั่งแยกคนเดียว หรือไม่พูดไม่จาหรอกครับ อาจารย์ที่คอยสังเกต ก็หักคะแนนคุณตายเลย

มีการขออาสาสมัครอะไร ก็ทุ่มเท อาสาบ่อยๆครับ กล้าที่จะเสนอตัวเอง แต่อย่าถึงกับเสนอหน้า และกล้าแสดงออกด้วย ยิ้มแย้มกับเพื่อน กับพี่ กับอาจารย์

เราว่า หากเรากล้าพอที่จะฝ่าด่านนี้ไปได้ มันก็มีแค่ความ “เต็มที่” น่ะแหละครับ หากคุณเต็มที่กับวันนั้น ทุกอย่างมันก็เป็นของคุณแล้วล่ะครับ อีก 1 เดือนนับจากนั้น ก็รอชื่อของคุณในรายชื่อคนที่ได้ทุน AFS ได้เลย

หากยังหมกมุ่นในโลกของตัวเอง ยังเงียบ ไม่ปรับตัว ก็พยายามหาจุดที่แก้ไขตัวเองก็แล้วกัน หากคุณเป็นคนไม่กล้าแสดงออก อย่างน้อย ก็ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ยิ้มเข้าไว้ครับ^__^


สรุปของกิจกรรมช่วงบ่าย

-บ้า บอ คอ แตก
-กล้าแสดงออก
-เป็นมิตร
-หมั่นอาสา
-ทุ่มเทในทุกกิจอรรม

ซึ่งก็รวมเป็น “เต็มที่ครับ”
: April 02, 2008, 08:50:05 PM
: หนึ่งในสาวกครูสมศรี
www.afsthailand31.com ลองเข้าไปสิคับ มันเป็น website ที่พวกพี่ที่เคยได้ทุนได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแห่งประสบการณ์ที่ได้ทุนAFSอ่ะคับ สำหรับคำแนะนำของผมก็คือให้ลองไปซื้อข้อสอบเก่าๆจากสำนักงาน AFS ที่อยู่ที่ หมู่บ้านประชานิเวศฯ 2 (ลองโทรหาเบอร์ที่ 1133 ดูนะ) มาลองทำดู แล้วก็ฝึกฝน talent show เพราะต้องมีการสอบความสามารถอื่นๆ และที่สำคัญยิ่งคือการเข้ากับคนอื่นได้คับ

ป.ล.ก้อปมาจากwebอื่นนะ
: April 02, 2008, 08:27:20 PM
: ``b I | f ~ -*
พิมพ์ผิดเยอะเลย
*ไม่เคยเรียนกับครูสมศรี

แล้วก็

ผมติดอันดับสองที่เลือก เปนตัวจริงครับ แต่สละสิทธิ์
(อิอิ แอบโม้)
: April 02, 2008, 08:24:46 PM
: ``b I | f ~ -*
สอบข้อเขียน ไม่ต้องเกร็งมากครับ ข้อสอบไม่ได้ยากอย่างที่คิดนะ  ผมว่า ภาษาไทย ยังยากกว่า อังกฤษ เลยครับ
สังคม ก็พวกความรู้รอบตัวกับข่าวๆนิดๆอ่าจ้า

อังกฤษส่วนใหญ่จะเป็น การ์ตูน โฆษณาประกาศขายเช่า ข้อความยาวๆๆ  ควรรีบทำPartไทยให้เสร็จ จะได้ใช้เวลาตรงนี้เยอะๆครับ อังกฤษมีแต่ Reading ซะมากกก แต่ไม่ยากเลยครับ ถ้าอ่านทัน ใช้เทคนิคที่ครูสอนนั่นแหละ  (เผอิญตอบสอบ ยังไม่เคยเลยกับ ครูสมศรี เลยทำข้อสอบอังกฤษไม่ทัน)

ส่วนสัมภาษณ์ครับ
เค้าจะให้ทำงานกลุ่มเป็นโปรเจค ซึ่งจะประกาศหัวข้อตั้งแต่เช้าก่อนเข้าสอบสัมภาษณ์
มาถึง เค้าจะให้เราทำกิจกรรมกลุ่มขำๆ แต่มีคะแนน
ตรงนี้พยายามทำตัวให้มีส่วนร่วม เด่นๆ ในกลุ่มครับ เค้าให้ทำอะไรก็ทำ พายายามเสนอความเห็นบ่อยๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำกลุ่มหรอก
ขอความคิดเห็นเพื่อนๆ คุยกับเพื่อนทุกคน แล้วก็ตั้งใจทำงานครับ
ตอนสัมภาษณ์ ห้ามเกร็ง ห้ามเครียด ไม่ต้องกังวล ทำใจสบายๆ อาจารย์สอบสัมพาสเขาจะพยายามทำให้เราสบายใจ
เข้าไปถึง เค้าเปิดโอกาสให้เราแนะนำตัว ซึ่งตรงนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาอังกฤษครับ แนะนำตัวเป็นภาษาไทยก็ได้นะ
แต่ถ้าเราแนะนำตัวเป็นอังกิดแล้ว เค้าก็จะโต้ตอบเราเป็นภาษาอังกิดเหมือนกัน (ผมเป็นอย่างนั้น ไปๆมาๆ ตัน อ.เลยเปลี่ยนเป็นภาษาไทย)
เค้าก็จะถามคำถามที่จะวัดการตัดสินใจ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเรา ตัวอย่างที่ผมเคยเจอ

> ถ้าได้โฮสเป็นชายโสด ขอมีอะไรด้วยจะทำยังไง (คือเกย์ขอ--- นั่นแหละ)
           > ปฏิเสธ และเดินออกห่างครับ
> ถ้าเค้ายังไม่ยอมล่ะ จะ --- ให้ได้
          > ก็ต้องคุยกับเค้า ว่าเราไม่ต้องการแบบนี้
> แต่ถ้าเค้าเริ่มจะใช้กำลังกับเรา และยืนกรานว่า เค้าจะต้อง ได้เรา ล่ะ
           > ก็บอกเค้าตรงๆว่า ไม่ชอบนะ
> แต่ถ้าเค้ามาขอกับเรา รบเร้าอย่างนี้ทุกๆวัน จะอยู่กับเค้าได้หรือ
           > แรกๆคงต้องทน คุยๆกันไปก่อน
> แต่ถ้าเค้าพยายามจะ --- ล่ะ
           > คงต้องหาความช่วยเหลือ บอกคนอื่น
> จะบอกใคร
           > ใครก็ได้
> คนสวนเหรอ !!
          > ยิ้ม

ก็ประมานนี้แหละครับ เค้าจะยิงคำถามแบบลึกๆๆๆๆๆ จนเราเริ่มตั้งตัวไม่ได้ เค้าจะดูการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเรานั่นเอง
และก็คำถามอื่นๆ ทั่วไป เช่น
มีพี่น้องกี่คน
ชอบทำงานบ้านอะไร
ทำไมถึงอยากไป
ฯลฯ


ปล.
ผมติดอันดับสอง แต่สละสิทธิ์ครับ
: April 01, 2008, 09:56:10 PM
: kazuna
ข้างบนเป็นตอนปีที่เราสอบนะ

ตอนนี้เปลี่ยนยังไงไม่รู้เหมือนกัน





อีกอย่าง ลองสอบไว้หลายๆ ทุนก็ได้(มั้ง)นะ เป็นประสบการณ์
ตอนนี้ทุนมีเยอะมากกกกก
: April 01, 2008, 09:54:30 PM
: kazuna
บอกให้รู้ไว้แล้วกันค่ะ เกี่ยวกับเรื่องข้อสอบ


Part I : ภาษาไทย + สังคม 20 ข้อ
เห็นมีคนบอกว่าถ้าทำช่วงนี้ต่ำกว่า 30% เค้าจะไม่ตรวจ Part II ให้น่ะค่ะ
เพราะจุดประสงค์ของ AFS คือการไปแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมมากกว่า

Part II : ภาษาอังกฤษ 80 ข้อ
้เน้น reading เป็นส่วนใหญ่ จะเป็นพวกเนื้อเรื่อง ฉลากยา ป้ายโฆษณา
ประมาณนี้อ่าจ้า

เวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง


สอบสัมภาษณ์จะมีเป็นกิจกรรมกลุ่มกับสัมภาษณ์เดี่ยว (ตอนนี้เปลี่ยนอะไรยังไงไม่ทราบเหมือนกันน้า)
- กิจกรรมกลุ่ม ให้ทำอะไรเราก็ทำไปเลยค่ะ เฮฮา ไม่มีแสดงความสามารถพิเศษอะไร แต่อาจจะมีบังคับให้รำไทย (มั้ง)
- สัมภาษณ์เดี่ยว จะมีอาจารย์มาถาม ภาษาไทย+ภาษาอังกฤษ เค้าจะดูที่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเราอ่าจ้า
เค้าอยากให้เราเอาตัวรอดได้ตอนที่ได้ทุนไปแล้วน่ะ  ^^



เราก็เคยสอบล่ะ แต่ไม่ได้ไปสอบสัมภาษณ์ ^^ สู้ๆ นะค้า 
: April 01, 2008, 09:44:39 PM
: คุณผู้หญิงแห่งแสงสูรย์
คือ ขอโทดษที่นะจ๊ะหนูGUESS

พอดีคุณผู้หญิงฯไปสอบเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ^^

ข้อสอบมันก็เลยยากขึ้นอ่ะจ้า อย่าว่ากานน้า^^

แต่ตอนคุณผู้หญิงไปสอบอ่ะ มันมีแต่เหตุการณ์ปัจจุบัน

แล้วก็กฏหมายอ่ะ

ไม่รุ้ว่าข้อสอบเปลี่ยนไปไงบ้างง

ใครพอจะมีก็เอามาให้เพื่อนๆบ้างนะจ๊ะ

พอดีคุณผู้หญิงก็มีข้อสอบที่เก็บไว้อยุ่อ่ะจ้า

ขอได้นะจ๊ะ

แต่ขอเวลาหาก่อน คิคิ^^
: April 01, 2008, 09:34:46 PM
: destroy & develop
ขอ Argueครับ เรื่องวิชาภาษาไทยและสังคมของAFSครับ


ปีที่แล้วออกมาอย่างที่งงมากครับ โดยมีรูปคนเป็นรูปภาพล้อเลียน แล้วให้ตอบว่าคนนั้นเกี่ยวอะไรกับอันนี้
: April 01, 2008, 09:14:48 PM
: คุณผู้หญิงแห่งแสงสูรย์
ไปสอบมาแล้ว

ไม่ติดอ่ะจ๊ะ

^^

คือ ข้อสอบจะแบ่งเป้น 2 ส่วน

คือ ภาคไทย 20 ข้อ ภาคอังกฤษ 80 ข้อ

ภาคไทยจะเป็นวิชา ไทย+สังคม อ่ะ คือ ถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันต่างๆ

ไม่ยากๆ

แต่ภาคอังกฤษ 80 ข้อ เทียบเคียงได้กับ O+A-NET เลยนะ

คือ ทำได้ไม่กี่คะแนนอ่ะ

รอบแรกอาจจะผ่าน

แต่ยังไม่อีกด่านคือ สัมภาษณ์ นี่แหละ สำคัญที่สุดจ้า

คือ อยากให้เน้นความเป็นไทยอ่ะจ้า พวกความสามารถพิเศษ

ได้ข่าวว่า

เพื่อนคุณผู้หญิงทีได้ไป AFS เค้า แสดงเซิ้งกระติ๊บ กะ ตำส้มตำ อ่ะจ้า แล้วผ่านได้ไปที่ USA

อีกคนรำไทยได้ไป แคนดานา อ่ะจ๊ะ

อย่างที่นู๋แจมว่าอ่ะจ้า

AD1 AD 2 น่าจะเพียงพอ

เพราะเด็กส่วนใหญ่สอบอยู่ประมาณ ม.3 - 4 -5 คงไม่ถึง AD3นะ

สู้ๆ นะจ๊ะนู๋มีน ขอเป็นกำลังใจให้อีกแรง อย่าท้อนะจ๊ะ ลองเอาข้อสอบเก่าๆมาทำดู

โจทย์มันก็วนเวียนอยุ่ในนั้นแหละจ้า

^__________________________________^
: April 01, 2008, 09:05:44 PM
: เหม่งจ๋าย : )
ข้อสอบ AFS เท่าที่ทราบมานะ

จะเป็นช้อยอ่าค่ะ

ถ้าผ่านช้อย

ก็จะเป็นสัมภาษณ์ต่อเลย


อายุยังไม่ถึงแฮะ แหะๆ ^^"


คาดว่า ad1-2 ก็น่าจะเพียงพอนะคะ
: April 01, 2008, 08:58:15 PM
: มีน
ถ้าต้องการไปสอบชิงทุน AFS ต้องเรียนคอร์สใดบ้างของครูสมศรีคะ แล้วข้อสอบ AFS เปนแบบไหนคะ
Sorry, the copyright must be in the template.
Please notify this forum's administrator that this site is missing the copyright message for SMF so they can rectify the situation. Display of copyright is a legal requirement. For more information on this please visit the Simple Machines website.