สวัสดีค่ะน้องๆ พี่เรียนอยู่ปีสามที่มหาลัยแห่งหนึ่งที่ต่างประเทศค่ะ พี่เห็นน้องๆช่วงนี้คงจะเข้าสู่ช่วงสำคัญกันแล้วก็เลยอยากจะให้กำลังใจ ไม่อยากให้ท้อค่ะ คือตัวพี่เองเนี่ย ตอนเรียนอยู่ที่ประเทศไทยก็ไม่ได้เรียนโดดเด่นอะไรมากมาย เรียกว่าพอถูๆไถๆไปได้จะดีกว่า แต่ด้วยความเป็นคนชอบภาษามากเลยขอคุณพ่อคุณแม่ไปเรียนที่เมืองนอกค่ะ คุณพ่อคุณแม่ก็หนักใจอยู่สักพักเพราะไอเราเป็นลูกสาวคนเดียว อายุก็สิบกว่าๆ ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ แต่ด้วยความที่เค้าก็อยากให้เราได้เรียนในสิ่งที่ชอบก็เลยเป็นอันว่าพี่ก็ได้ไปสมใจอยากถามว่ารู้สึกเสียดายไหมที่ต้องทิ้งชีวิตมัธยมตอนนั้นไป เสียดายค่ะ เพราะที่เมืองไทยมีทั้งเพื่อน โรงเรียน และครอบครัว และคุณครูที่คอยให้กำลังใจเราเมื่อเราท้อ แต่ในอีกแง่หนึ่ง พี่คิดว่าการที่เราได้ไปเรียนที่ต่างประเทศนั้น มันก็จะเป็นประสบการณ์ที่คนหลายๆคนอาจจะไม่มีโอกาสได้สัมผัส และเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษา ได้พูด ได้ใช้ทุกวัน เพราะพี่คิดว่าภาษานั้น โดยเฉพาะภาษาสากลถ้ามีติดตัวไว้ก็จะเป็นเหมือนอาวุธของเราค่ะ (เพราะฉะนั้น น้องๆ ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษกับคุณครูสมศรีให้ดีนะคะ เพราะมันเป็นประโยชน์กับเรามากเลยค่ะ) และก้าวแรกที่พี่เหยียบประเทศนั้น ความมั่นใจที่พกมาจากประเทศไทย มันหายลงไปเกือบเหลือ 0 ความรู้สึกแบบ วาบๆโหวงๆ แบบใจหายนะค่ะ พี่คิดอยู่ในใจ เห้ยนี่เราจากบ้านมาแล้วจริงๆนะ ต่อไปนี้เราต้องยืนด้วยขาตัวเอง เราต้องมีชีวิตรอดกลับไปเจอพ่อแม่ให้ได้ (อาจจะตลก แต่ก็คิดอย่างงั้นจริงๆนะ ฮ่าๆ) พี่ก็เริ่มเลยค่ะ ด้วยความรู้ภาษาอังกฤษที่มีอยู่(อันน้อยนิด) พี่เดินไปร้านขาย(ที่คิดว่าน่าจะเป็นซิมการ์ด) ไปซื้อซิมโทรศัพท์ และนั่นเป็นการใช้ภาษาอังกฤษที่เมืองนอกครั้งแรกของพี่ค่ะ "ไฮ, ไอ ว้อน ซิม การ์ด" << แสดงถึงความโง่ภาษาอังกฤษอย่างเต็มขั้น ฮ่าๆ จำได้ว่าตอนนั้นใจเต้นตุบๆ กลัวว่าเค้าจะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ว่าเค้าก็เข้าใจที่เราพูดค่ะ หยิบมา เราก็จ่ายตังไปตามระเบียบ สักพักที่โรงเรียนก็ส่งคนมารับค่ะ อ้อ ลืมบอกไป พี่ต้องไปอยู่หอพักของโรงเรียนค่ะ ที่โรงเรียนเค้าแนะนำว่าเพื่อนเยอะ จะได้ฝึกภาษาเร็วๆ ตอนที่พี่เรียนอยู่ที่โรงเรียน ก็กลายเป็นที่รักของอาจารย์ค่ะ เพราะว่าพี่ขยันเรียน (ตามความคิดของเขา) แต่อันที่จริง ก็แค่เรียนๆ จดๆ ตามประสาเด็กไทยแหละค่ะ แต่คนอื่นเค้าชอบคุยกัน ก็เลยกลายเป็นเด็กเรียนซะงั้น เอาละค่ะ ข้ามเรื่องตอนนั้นมาเป็นคะแนนของพี่ดีกว่า เป็นเพราะภาษาเราไม่ได้ดี (ถึงจะเรียนได้ที่ไทยเกรดสี่ แต่พอเอาเข้าจริง ก็ยังถือว่าไม่ดีน่ะค่ะ) สอบก็เลยได้คะแนนไม่ค่อยดี แต่ครูก็ให้กำลังใจทุกคนนะคะว่าคะแนนไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความสามามารถ แค่ต้องรอเวลาอีกหน่อย เค้าเชื่อว่าถ้าตั้งใจอะไรก็ทำได้ค่ะ ข้ามมาตอนจะเข้ามหาลัยนะคะ พี่สอบวิชาภาษาอังกฤษไม่ผ่านค่ะ จะว่ายากก็ยากมากค่ะ สำหรับพี่ เพราะต้องเขียนเรียงความ ตีความ แล้วก็พวกบทความของเชกสเปียร์ (เหมือนเรียนภาษาไทยบ้านเราน่ะค่ะ) ซึ่งพี่ไม่ค่อยถนัด โทรไปร้องไห้กับแม่ทุกวันเลยค่ะ แม่ก็บอกว่าให้พยายามให้มากขึ้นกว่านี้ เราไม่ใช่เจ้าของภาษา เราต้องพยายามมากกว่าคนอื่น พี่ตัดสินใจไปเรียนเพิ่มอีกหนึ่งปีเพื่อเตรียมตัวเข้ามหาลัย จึงติดต่อไปที่สถาบันแห่งหนึ่ง แต่ว่าโดนดูถูกว่าโง่บ้าง ถ้าเรียนได้เกรดขนาดนี้ ก็คงเข้าที่นี่ไม่ได้ (จากคนไทยที่เป็นที่ปรึกษาที่สถาบัน) พี่น่ะทั้งเจ็บใจแล้วก็แค้นใจ เลยตั้งใจไว้ว่า จะเอาใบรับเข้าเรียนมหาลัยไปโยนใส่หน้าเขา (น้องๆเด็กดีอย่าเลียนแบบนะคะ) ภายในปีนั้นให้จงได้ พี่ก็เอาวะ ที่นี่เค้าไม่รับ ลองที่นี่ก็ได้ พี่ร่อนใบสมัครไปทุกที่อย่างกับร่อนใบปลิว สุดท้ายพี่โทรไปที่มหาลัยหนึ่ง และได้คุยกับ advicer ของที่นั่น เค้าบอกว่าให้ลองสอบนี่นะ แล้วผลสอบออกแล้วให้เขียนจดหมายส่งอีเมลล์มาหาเค้า แล้วเค้าจะเอาเรื่องพิจารณารับเราไปเสนอ เราก็โอเคตงลง พี่ก็อ่านหนังสือเตรียมสอบหนักมาก เสริมคำแนะนำนิดนึงค่ะ การอ่านหนังสือเรียนให้ได้ประโยชน์มากที่สุดเนี่ย ต้องอ่าน แล้วทำความเข้าใจ ตั้งคำถามกับทุกๆย่อหน้าที่อ่านไปว่า ถ้าเค้าถามอย่างนี้ เราจะตอบอย่างไร อย่าอ่านแค่ในหนังสือนะคะ Google is your friend ค่ะ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยพี่ท่านเคยพูดไว้ ถ้าไม่รู้อะไร อย่าปล่อยให้ไม่รู้อยู่อย่างนั้นค่ะ โอเคกลับมาเรื่องของพี่ต่อ ตกลงว่าพี่ก็สอบได้ตามมาตรฐานที่เค้ากำหนดไว้ และมหาลัยนั้นก็รับพี่เข้าเรียนค่ะ ใช้เวลา 2 สัปดาห์หลังจากที่โดนด่าจากคนนั้น เรื่องมันยังไม่จบค่ะ พี่ก็มานั่งคิดๆ แล้วเราจะเรียนสายภาษาอังกฤษนี่ต่อไหวหรือ ไม่อยากทรมานตัวเองก็เลยเลือกเรียนสายวิทย์ซะเลย (วงเล็บว่า พี่เป็นเด็กศิลป์ค่ะ) ท้าทายความสามารถตัวเองดี แต่ยังไม่หมดแค่นั้นค่ะ พี่โดนดูถูกจากเพื่อนๆรอบข้างอีกแหน่ะ ว่าเรียนไม่ได้แน่อย่างงั้นอย่างงี้ แต่พี่ก็ไม่สนใจค่ะ พี่ถือว่าพี่เจอมาเยอะแล้วแค่นี้พี่ต้องเรียนให้ได้ แล้วพี่ก็เรียนได้ค่ะ ปีหน้าพี่ก็จะจบแล้ว พี่อยากจะบอกน้องๆว่า ไม่อยากให้น้องๆท้อแท้ เวลาโดนกดดันจากสังคม โดนกดดันจากคนรอบๆข้าง ขอให้เชื่อมั่น ขอให้ตั้งใจ เก็บคำพูด คำด่าของคนอื่นมาเป็นแรงผลักดันให้ตัวเอง ทำสิ่งที่หวังไว้ได้สำเร็จนะคะ อย่างที่คุณครูสมศรีเคยสอนไว้ พี่ได้อะไรมากจากคุณครูจริงๆค่ะ เราเรียนไม่เก่งไม่ได้หมายความว่าเราจะทำไม่ได้นะคะ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นค่ะ พี่ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังท้อแท้อยู่นะคะ
|