ตอนเด็กเราร่าเริงอยู่กับแม่พี่น้า ส่วนพ่อทำงานอยู่ตจวนานๆทีจะได้เจอกัน
เด็กๆก็เสียใจที่ไม่มีพ่อไปรับที่รรเหมือนเด็กคนอื่นเฝ้ารอวันที่พ่อบอกจะมาหาแม้จะผิดนัดหลายครั้ง
เพราะธุรกิจของพ่อวันเวลาไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับลูกค้า ตั้งแต่เด็กไม่เคยได้ยินแม่พูดถึงพ่อในแง่ดีเลย
แม่บอกบางเรื่องเราต้องโกหกเพราะพ่อก็โกหกพวกเรา ตอนนั้นก็สับสนครอบครัวทำไมต้องแบ่งพวก
ทำไมต้องโกหก อยากเดินหนีเวลาแม่ว่าพ่อให้ฟัง เข้าใจว่าพ่อทำผิดกับแม่แต่เราเป็นลูกก็ร็สึกไม่ดี
เราพยายามแก้ตัวให้พ่อ อยากให้ครอบครัวเราอบอุ่น แต่เหมือนคำพูดของแม่ย้ำจน..ฝังใจ
พ่อเองก็ไม่ค่อยได้อยู่ดูแล วันเวลาผ่านไปฉันก็กลายเป็นเด็กไม่ค่อยพูดไม่ค่อยยิ้ม เพราะ
ตอนเด็กพูดกับน้าที่ดูทีวีอยู่แล้วไม่ค่อยสนใจเราไม่พูดหลายครั้ง พี่ก็ขี้หงุดหงิด
แม่ก็ไม่ใช่คนช่างพูดบวกกับมีปํญหา ทำให้เราเป็นคนไม่มีความมั่นใจไม่กล้าพูดหลายครั้งที่มีปัญหาปรึกษาแม่
แม่จะคิดในมุมองผู้ใหญ่ซึ่งทัศนคติที่แม่สื่อออกมานั้นไม่ใช่คำที่สื่อสารกับเด็ก ฉันไม่เข้าใจทำให้รู้สึกแย่กว่าเดิม
ตั้งแต่นั้นจึงเลือกเก็บปัญหาคิดแก้ไขคนเดียว ตั้งแต่ม.ต้นเราก็ห่างจากครอบครัวไปสนิทกับเพื่อน
แม่ก็ไม่ค่อยได้คุย พี่อยู่หอ พ่อจากที่เคยโทรหากลายเป็นไม่โทรเลยพ่อต้องโทรมา
เพิ่งมารู้ตัวตอนม.ปลายว่าห่างไปมาก เราอยากจะกลับไปเหมือนตอนประถมที่ยังได้ยินได้เห็นแต่ไม่คิดอะไรมาก
คุยร่าเริงกันได้ตามปกติ แต่มันก็ทำไม่ได้ชินอยู่ตัวเองเหมือนมีกำแพงกั้น ช่วงนึงเราเป็นหนัก
ขนาดไม่กล้ามองหน้าพ่อไม่กล้าชวนคุย ไม่รู้ทำไม แต่วันนี้อายุ18ความคิดยังคงไม่ต่างจากหลายปีที่ผ่านมา
ยังคงสับสน เราเป็นตัวเองสบายใจร่าเริงตอนอยู่กับเพื่อนมากกว่าครอบครัวที่ดูเราเป็นคนเงียบๆ
รวมญาติทุกครั้งฉันไม่เคยมีความสุขที่ต้องนั่งเงียบ ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมาหลอมรวมให้เราเป็น
วันนี้เราแค่อยากปรับทัศนคติความเคยชินของตัวเอง อยากเป็นคนยิ้มง่าย คุยง่ายไว้ใจคนให้มากขึ้น
ที่สำคัญอยากกลับไปคุยกับทุกคนได้สบายใจเหมือนตอนเด็ก ควรจะเริ่มต้นจากสิ่งไหนดีคะ